Ducati Diavel จักรยานยนต์พลังสูงทรงโหดจาก Ducati สำหรับนักบิดที่ชื่นชอบความท้าทายในการเดินทาง...
Ducati Diavel ถูกแสดงครั้งแรกในงาน มิลานอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ ปี 2010 ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจกับรูปลักษณ์ใหม่กับนักบิดทั่วโลก และตอกย้ำความประทับใจด้วยรางวัลต่างๆ และเป็นหนึ่งในโมเดลที่มียอดขายสูงสุด Ducati Diavel สร้างปรากฏการณ์ในรูปแบบใหม่ในตลาดรถกลุ่ม Sport Cruiser ทั้งทางด้านดีไซน์ ด้านวิศวกรรม ความลงตัวของเทคโนโลยีและศิลป์ ถ่ายทอดความเร้าใจในประสิทธิภาพด้านการขับขี่ พลังเครื่องยนต์อันมหาศาล ทุกอย่างลงตัวอยู่ใน Diavel ตัวรถ Ducati Diavel ถูกออกแบบและผลิตขึ้นตามแนวคิดความลงตัวของน้ำหนักที่เบา ให้พลังสูง ควบคุมง่าย เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ด้วยความสะดวกสบาย ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยเช่นระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อกตายเมื่อใช้เบรกอย่างกะทันหันหรือแรงเกินไป ระบบ DTC หรือ Ducati Traction Control ช่วยผู้ขับขี่ควบคุมการถ่ายทอดกำลังผ่านล้อหลังอย่างมั่นใจ มั่นคงด้วยดีไซน์ ให้พลังเหลือเฟือจากเครื่องยนต์ 162 แรงม้ากับน้ำหนักตัว 207 กก. ยางหลังขนาด 240 มม. ซีรีส์ใหม่สำหรับเติมเต็มให้การขับขี่ในโค้งทำได้อย่างง่ายดาย เสริมบุคลิกความทันสมัย ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอิเล็กทรอนิกส์มากมาย และสามารถต่อเติมไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้ตามใจจากอุปกรณ์เสริมของ Ducati Performance
Ducati Diavel ถูกแสดงครั้งแรกในงาน มิลานอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ ปี 2010 ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจกับรูปลักษณ์ใหม่กับนักบิดทั่วโลก และตอกย้ำความประทับใจด้วยรางวัลต่างๆ และเป็นหนึ่งในโมเดลที่มียอดขายสูงสุด Ducati Diavel สร้างปรากฏการณ์ในรูปแบบใหม่ในตลาดรถกลุ่ม Sport Cruiser ทั้งทางด้านดีไซน์ ด้านวิศวกรรม ความลงตัวของเทคโนโลยีและศิลป์ ถ่ายทอดความเร้าใจในประสิทธิภาพด้านการขับขี่ พลังเครื่องยนต์อันมหาศาล ทุกอย่างลงตัวอยู่ใน Diavel ตัวรถ Ducati Diavel ถูกออกแบบและผลิตขึ้นตามแนวคิดความลงตัวของน้ำหนักที่เบา ให้พลังสูง ควบคุมง่าย เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ด้วยความสะดวกสบาย ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยเช่นระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อกตายเมื่อใช้เบรกอย่างกะทันหันหรือแรงเกินไป ระบบ DTC หรือ Ducati Traction Control ช่วยผู้ขับขี่ควบคุมการถ่ายทอดกำลังผ่านล้อหลังอย่างมั่นใจ มั่นคงด้วยดีไซน์ ให้พลังเหลือเฟือจากเครื่องยนต์ 162 แรงม้ากับน้ำหนักตัว 207 กก. ยางหลังขนาด 240 มม. ซีรีส์ใหม่สำหรับเติมเต็มให้การขับขี่ในโค้งทำได้อย่างง่ายดาย เสริมบุคลิกความทันสมัย ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอิเล็กทรอนิกส์มากมาย และสามารถต่อเติมไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้ตามใจจากอุปกรณ์เสริมของ Ducati Performance
Ducati Diavel มีให้เลือก 4 เวอร์ชั่นตั้งแต่เวอร์ชั่นมาตรฐาน ตามด้วย Diavel Carbon ซึ่งเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ หรือจะเลือกเวอร์ชั่นสไตล์หรูหรามีระดับกับ Diavel Cromo และพิเศษสุดกับเวอร์ชั่น Diavel AMG บรรจุชิ้นส่วนพิเศษจากสำนักแต่งชื่อดังก้องโลกอย่าง AMG
จินตนาการจากสัญชาตญาณดิบ
โปรเจกต์เริ่มต้นของ Diavel เริ่มต้นเมื่อนักออกแบบของ Ducati ใส่ความต้องการส่วนลึกในสัญชาตญาณดิบของตัวเองแล้ววาดมันลงในกระดาษ กับคำถาม "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า" เรามีวิธีการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ในฝัน ซึ่งพวกเราก็ได้สเกตช์มันออกมาในรถแบบ Long and Low “ความท้าทายในการสร้างเครื่องยนต์ที่แสดงให้เห็นพลังที่ดุดันน่าเกรงขาม กับให้พบความละเมียดละไมบนสัมผัสที่ละเอียดอ่อนและผลสรุปที่ได้คือ ส่วนหน้าที่ดูแข็งแรงดุดัน” ทีมดีไซน์ผู้รับผิดชอบโครงการได้อธิบายถึงดีไซน์ของโปรเจกต์ Diavel ส่วนล้อหน้าจะต้องอยู่ชิดกับตัวรถ และทำให้ส่วนท้ายสั้นเหมือนรถสปอร์ต ซึ่งทำให้เราได้รถสไตล์ Muscular ที่กลมกลืนกับดีไซน์โครงสร้างเชสซีหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของเราอย่างลงตัว หากการแสดงออกที่โกรธเกรี้ยวเป็นความน่าเกรงขามรุ่น Streetfighter การแสดงออกของ Diavel ก็คือท่าทางของความองอาจ และแสดงความมั่นใจที่เหนือกว่า ด้วยแผงหม้อน้ำระบายความร้อนเหมือนหน้าอกที่ผึ่งผายและช่วงไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผสมกับเอวที่คอดกิ่ว (บริเวณเบาะนั่ง) รับแผงออยล์คูลเลอร์ด้านหน้าที่เหมือนกล้ามหน้าท้องที่แข็งแกร่งเสริมด้วย เส้นสายโครงร่างที่สวยงาม ยางหลังขนาด 240 มม. เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งสำหรับการออกแบบโดยไม่ยอมให้มันเป็นข้อจำกัดในการออกแบบ โดยทีม R&D พยายามที่จะหาหนทางที่จะใช้มันให้ได้แม้จะรู้ว่าภาพร่างที่เขาส่งให้จะสร้างแรงสะเทือนให้วงการมอเตอร์ไซค์ก็ตามที
โปรเจกต์เริ่มต้นของ Diavel เริ่มต้นเมื่อนักออกแบบของ Ducati ใส่ความต้องการส่วนลึกในสัญชาตญาณดิบของตัวเองแล้ววาดมันลงในกระดาษ กับคำถาม "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า" เรามีวิธีการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ในฝัน ซึ่งพวกเราก็ได้สเกตช์มันออกมาในรถแบบ Long and Low “ความท้าทายในการสร้างเครื่องยนต์ที่แสดงให้เห็นพลังที่ดุดันน่าเกรงขาม กับให้พบความละเมียดละไมบนสัมผัสที่ละเอียดอ่อนและผลสรุปที่ได้คือ ส่วนหน้าที่ดูแข็งแรงดุดัน” ทีมดีไซน์ผู้รับผิดชอบโครงการได้อธิบายถึงดีไซน์ของโปรเจกต์ Diavel ส่วนล้อหน้าจะต้องอยู่ชิดกับตัวรถ และทำให้ส่วนท้ายสั้นเหมือนรถสปอร์ต ซึ่งทำให้เราได้รถสไตล์ Muscular ที่กลมกลืนกับดีไซน์โครงสร้างเชสซีหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของเราอย่างลงตัว หากการแสดงออกที่โกรธเกรี้ยวเป็นความน่าเกรงขามรุ่น Streetfighter การแสดงออกของ Diavel ก็คือท่าทางของความองอาจ และแสดงความมั่นใจที่เหนือกว่า ด้วยแผงหม้อน้ำระบายความร้อนเหมือนหน้าอกที่ผึ่งผายและช่วงไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผสมกับเอวที่คอดกิ่ว (บริเวณเบาะนั่ง) รับแผงออยล์คูลเลอร์ด้านหน้าที่เหมือนกล้ามหน้าท้องที่แข็งแกร่งเสริมด้วย เส้นสายโครงร่างที่สวยงาม ยางหลังขนาด 240 มม. เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งสำหรับการออกแบบโดยไม่ยอมให้มันเป็นข้อจำกัดในการออกแบบ โดยทีม R&D พยายามที่จะหาหนทางที่จะใช้มันให้ได้แม้จะรู้ว่าภาพร่างที่เขาส่งให้จะสร้างแรงสะเทือนให้วงการมอเตอร์ไซค์ก็ตามที
ปรัชญาของ Ducati สำหรับการสร้างนวัตกรรมนั้นขยายขอบเขตของการออกแบบรถจักรยานยนต์ไห้ตื่นเต้นได้ตลอดมา และ Diavel คือ Ducati แท้ๆ ที่เกิดจากความต้องการออกแบบรถจักรยานยนต์เพื่อแสดงประสิทธิภาพความเป็น Ducati ในทุกๆ การตอบสนอง
ชื่อเรียกขานนาม "Diavel" คำว่า "Diavel" นั้นได้แรงบันดาลใจจากภาษาท้องถิ่น Bolognese ของอิตาลีมีความหมายเท่ากับคำว่า "Devil" หรือ "ปิศาจ" วันหนึ่งในช่วงแรกๆ ของการพัฒนารถ ระหว่างที่กลุ่มวิศวกรและดีไซเนอร์กำลังประกอบรถต้นแบบเต็มคันเป็นครั้งแรก ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่เห็นภาพเงาดำจากด้านหลังของตัวรถด้วยสำเนียง Bolognese ว่า “Ignuràntcomm’ al diavel!” ซึ่งมีความหมายว่า "ปิศาจ มันดูเป็นปิศาจชัดๆ" ซึ่งเช่นเดียวกับที่มาของรถในตระกูล "Monster" เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ชื่อ Diavel ยังคงถ่ายทอดวิธีการกำหนดนามเรียกขานแก่รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ตามประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของโรงงาน ความสะดวกสบายทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย เบาะนั่งของ Diavel เป็นแบบ Twin-Level ที่กว้างขวางนั่งสบายและได้รูปทรงที่สวยงามของเส้นสายเข้ากับตัวรถ และด้วยความสูงเบาะส่วนผู้ขับขี่ที่ 770 มม. เป็นหนึ่งในรถรุ่นที่มีเบาะนั่งต่ำที่สุดของ Ducati นอกจากเบาะนั่งแล้วในโครงสร้างหลักที่ต่ำและการปรับน้ำหนักให้อยู่ที่ 207 กก. (สำหรับเวอร์ชั่น Diavel Carbon) ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความรู้สึกเต็มสองเท้า ด้วยท่าทางที่มั่นใจในการควบคุมรถ นอกจากได้ความสวยงามเข้ากับตัวรถแล้ว การถอดฝาครอบเบาะท้ายที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังทำได้อย่างง่ายดายยามมีผู้ซ้อนท้ายที่จะรู้สึกสบายจากพักเท้าหลังแบบ T-bar ที่ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมอะโนไดซ์สีดำที่พับเก็บซ้อนได้ใต้ซับเฟรมหลัง พร้อมกลับหูจับท้ายใต้เบาะนั่งซึ่งเก็บซ้อนใต้เบาะและดึงได้ยามใช้งาน ช่วยให้ผู้ซ้อนท้ายมั่นใจมากขึ้นในการเดินทาง
ชื่อเรียกขานนาม "Diavel" คำว่า "Diavel" นั้นได้แรงบันดาลใจจากภาษาท้องถิ่น Bolognese ของอิตาลีมีความหมายเท่ากับคำว่า "Devil" หรือ "ปิศาจ" วันหนึ่งในช่วงแรกๆ ของการพัฒนารถ ระหว่างที่กลุ่มวิศวกรและดีไซเนอร์กำลังประกอบรถต้นแบบเต็มคันเป็นครั้งแรก ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่เห็นภาพเงาดำจากด้านหลังของตัวรถด้วยสำเนียง Bolognese ว่า “Ignuràntcomm’ al diavel!” ซึ่งมีความหมายว่า "ปิศาจ มันดูเป็นปิศาจชัดๆ" ซึ่งเช่นเดียวกับที่มาของรถในตระกูล "Monster" เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ชื่อ Diavel ยังคงถ่ายทอดวิธีการกำหนดนามเรียกขานแก่รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ตามประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของโรงงาน ความสะดวกสบายทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย เบาะนั่งของ Diavel เป็นแบบ Twin-Level ที่กว้างขวางนั่งสบายและได้รูปทรงที่สวยงามของเส้นสายเข้ากับตัวรถ และด้วยความสูงเบาะส่วนผู้ขับขี่ที่ 770 มม. เป็นหนึ่งในรถรุ่นที่มีเบาะนั่งต่ำที่สุดของ Ducati นอกจากเบาะนั่งแล้วในโครงสร้างหลักที่ต่ำและการปรับน้ำหนักให้อยู่ที่ 207 กก. (สำหรับเวอร์ชั่น Diavel Carbon) ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความรู้สึกเต็มสองเท้า ด้วยท่าทางที่มั่นใจในการควบคุมรถ นอกจากได้ความสวยงามเข้ากับตัวรถแล้ว การถอดฝาครอบเบาะท้ายที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังทำได้อย่างง่ายดายยามมีผู้ซ้อนท้ายที่จะรู้สึกสบายจากพักเท้าหลังแบบ T-bar ที่ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมอะโนไดซ์สีดำที่พับเก็บซ้อนได้ใต้ซับเฟรมหลัง พร้อมกลับหูจับท้ายใต้เบาะนั่งซึ่งเก็บซ้อนใต้เบาะและดึงได้ยามใช้งาน ช่วยให้ผู้ซ้อนท้ายมั่นใจมากขึ้นในการเดินทาง
ระบบส่องสว่าง
ชุดไฟหน้าของ Diavel แบบแยกส่วนไฟสูงไฟต่ำโคมสะท้อนแสงแบบมัลติรีเฟร็คเตอร์ พร้อมไฟแสดงตำแหน่งคาดกลางแบบ LED กรอบโคมไฟหน้าเป็นวัสดุอะลูมิเนียมทั้งชิ้น ให้แสงสว่างและมุมแสงที่มองเห็นได้ชัดตามมาตรฐานยุโรป ชุดไฟท้าย Diavel ใช้ไฟท้าย-ไฟเบรก-ไฟเลี้ยวแบบ LED สองแถวเรียงตัวในแนวดิ่งโค้งมนเข้ากับด้านท้ายตัวรถให้แสงสว่างและมุมมองตัดกับโทนดำของตัวรถทำให้รถอื่นๆ มองเห็นเด่นชัด และทำให้มุมมองด้านท้ายสวยงามโล่งโปร่งสายตา เช่นเดียวกับไฟเลี้ยวด้านหน้าถูกวางอยู่ริมขอบแผงหม้อน้ำทั้งสองข้างให้สัญญาณไฟเห็นเด่นชัดและเข้ารูปกับตัวรถ
ชุดแผ่นติดป้ายทะเบียนพร้อมไฟส่องป้ายฉีกแนว
อุปกรณ์ สำหรับติดแผ่นป้ายทะเบียนของ Diavel โดยโครงยึดแผ่นป้ายยึดติดปลายสุดของชุดสวิงอาร์ม ดีไซน์แบบเทรลลิสเฟรมรับกันอย่างลงตัวสะท้อนถึงความเป็นดูคาติ ส่วนตัวแท่นยึดแผ่นป้ายออกแบบให้เป็นบังโคลนล้อหลังรับกับขนาดยาง 240 มม. เสริมความงามด้วยชุดไฟส่องป้ายทะเบียนแบบ LED ที่เก็บซ้อนสายไฟมาเป็นอย่างดีเสริมสไตล์ของตัวรถให้ดุดันแบบ Dragster เต็มพิกัด
อุปกรณ์ สำหรับติดแผ่นป้ายทะเบียนของ Diavel โดยโครงยึดแผ่นป้ายยึดติดปลายสุดของชุดสวิงอาร์ม ดีไซน์แบบเทรลลิสเฟรมรับกันอย่างลงตัวสะท้อนถึงความเป็นดูคาติ ส่วนตัวแท่นยึดแผ่นป้ายออกแบบให้เป็นบังโคลนล้อหลังรับกับขนาดยาง 240 มม. เสริมความงามด้วยชุดไฟส่องป้ายทะเบียนแบบ LED ที่เก็บซ้อนสายไฟมาเป็นอย่างดีเสริมสไตล์ของตัวรถให้ดุดันแบบ Dragster เต็มพิกัด
ถังน้ำมันและช่องดักอากาศ
ถังน้ำมันของ Diavel มีขนาดความจุ 17 ลิตร แสดงถึงสไตล์โดยรวมของตัวรถ เส้นสายแบบไร้รอยต่อของถังน้ำมันเริ่มต้นจากแผงไฟหน้าลาดยาวจรดเบาะนั่ง และซับเฟรมหลัง จุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือหน้าจอแบบความละเอียดสูงที่ถูกติดตั้งอยู่บนส่วนบนของถังน้ำมัน ขณะเดียวกันด้านข้างซ้ายและขวาของตัวถังนั้นคือท่อดักอากาศขนาดใหญ่เพื่อส่งอากาศจำนวนมากเข้าสู่หม้อกรองอากาศเป็นช่องหายใจของเครื่องยนต์ Testastretta11° ให้กำลังขนาด 162 แรงม้าได้ทำงานตามหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
ถังน้ำมันของ Diavel มีขนาดความจุ 17 ลิตร แสดงถึงสไตล์โดยรวมของตัวรถ เส้นสายแบบไร้รอยต่อของถังน้ำมันเริ่มต้นจากแผงไฟหน้าลาดยาวจรดเบาะนั่ง และซับเฟรมหลัง จุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือหน้าจอแบบความละเอียดสูงที่ถูกติดตั้งอยู่บนส่วนบนของถังน้ำมัน ขณะเดียวกันด้านข้างซ้ายและขวาของตัวถังนั้นคือท่อดักอากาศขนาดใหญ่เพื่อส่งอากาศจำนวนมากเข้าสู่หม้อกรองอากาศเป็นช่องหายใจของเครื่องยนต์ Testastretta11° ให้กำลังขนาด 162 แรงม้าได้ทำงานตามหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่
อุปกรณ์ และการควบคุม สัดส่วนของตัวรถเน้นการควบคุมรถที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเป็น หลักแฮนเดิ้ลบาร์หน้า มุมวางแขนกว้าง มีมุมรับกับข้อมือและช่วงแขน ทำจากอะลูมิเนียมทรงโคนให้ช่วงการควบคุมสวิตช์ต่างๆ จากนิ้วมือได้อย่างดี มือเบรกและคลัตช์เป็นแบบไฮโดรลิกส์ชุดมาสเตอร์ของ Brembo ชุดกระจกส่องหลังเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป จัดวางในมุมที่ไม่บดบังทัศนวิสัยการขับขี่ด้านหน้า และมองเห็นได้รวดเร็วที่ด้านหลังสวิตช์ปุ่มควบคุมออกแบบให้กระชับมือให้ความ มั่นใจในการใช้งานและเรียนรู้ได้ง่ายโดยปุ่มแต่ละปุ่มจะมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Engine On / Off, ปุ่มควบคุมไฟเลี้ยว ซ้าย-ขวา และปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ ทุกอย่างมีการใช้งานเด่นชัด ส่วนหน้าจอดิสเพลย์ แบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนของเรือนไมล์ และหน้าจอแสดงโหมดการขับขี่บนถังน้ำมัน โดยทั้งสองส่วนใช้โหมดแสดงผลแบบ TFT ให้ความคมชัดและสีสันถึง 16.7 ล้านสี โดยเฉพาะหน้าจอที่เรือนไมล์นั้นใช้เวลาละสายตาเพื่อดูหน้าจอระหว่างการ ขับขี่สั้นมาก สัญลักษณ์ต่างๆ เข้าใจง่าย
ลวดลายและสีสัน
Diavel จะมีสีดำไดมอนด์แบล็ค ซึ่งตัวเฟรมจะเป็นสีดำและใช้ล้อสีดำล้วน ส่วน Diavel Carbon Red จะเป็นเส้นแถบสีแดงบนถังน้ำมันและฝาครอบรุ่น โดยล้อจะเป็น Forged Aluminum สีดำกัดลายโชว์เนื้ออะลูมิเนียม เน้นเส้นสายเสริมความโดดเด่นบนตัวรถ ส่วน Diavel Cromo เน้นโทนสีเงิน-ดำ ชุดครอบถังน้ำมันสีเงินโลหะโลโก้ Ducati ย้อนประวัติศาสตร์ และรุ่น Diavel AMG นั้นเป็นเวอร์ชั่นพิเศษสร้างชิ้นส่วนพิเศษงานคาร์บอนไฟเบอร์จากสำนักแต่ง ชื่อก้องโลก AMG สีเฟรม "ไดมอนด์ ไวท์-ไบร์ท" ตัดโทนดำของตัวรถและล้อแม็กห้าก้านดีไซน์พิเศษ
Diavel จะมีสีดำไดมอนด์แบล็ค ซึ่งตัวเฟรมจะเป็นสีดำและใช้ล้อสีดำล้วน ส่วน Diavel Carbon Red จะเป็นเส้นแถบสีแดงบนถังน้ำมันและฝาครอบรุ่น โดยล้อจะเป็น Forged Aluminum สีดำกัดลายโชว์เนื้ออะลูมิเนียม เน้นเส้นสายเสริมความโดดเด่นบนตัวรถ ส่วน Diavel Cromo เน้นโทนสีเงิน-ดำ ชุดครอบถังน้ำมันสีเงินโลหะโลโก้ Ducati ย้อนประวัติศาสตร์ และรุ่น Diavel AMG นั้นเป็นเวอร์ชั่นพิเศษสร้างชิ้นส่วนพิเศษงานคาร์บอนไฟเบอร์จากสำนักแต่ง ชื่อก้องโลก AMG สีเฟรม "ไดมอนด์ ไวท์-ไบร์ท" ตัดโทนดำของตัวรถและล้อแม็กห้าก้านดีไซน์พิเศษ
ประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมสำหรับอารมณ์ขับขี่สนุกและเดินทางไกล
หัวใจ สำคัญของ Diavel คือ เครื่องยนต์ Ducati Testastretta 11° ที่พัฒนาจากเครื่องยนต์ของ Superbike1198 โดยปรับปรุงให้ตอบสนองทุกการขับขี่ เป็นสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและการขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยพลังขนาด 162 แรงม้าและแรงบิดขนาด 13 กม. โดยระบบ Testastretta 11° ใช้กลไกเปิด-ปิดวาล์วแบบ Desmodromic แต่ลดมุมโอเวอร์แล็ปจาก 41° เหลือ 11° ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้นุ่มนวลเน้นกำลังแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ รอบกำลังบิดกว้างขึ้น และมีฟิลลิ่งการตอบสนองเครื่องจะควบคุมง่ายโดยเครื่องยนต์ชุดนี้ถูกพัฒนาใช้ครั้งแรกกับ Ducati Multistrada 1200 โดยปรับปรุงจากเครื่องยนต์ของ Superbike 1198 นอกจากนี้การใช้ระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อแบบ Ride By Wire หรือลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยระบบฟูลอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การตอบสนองเครื่องยนต์แม่นยำและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดค่ามลพิษมากกว่า
หัวใจ สำคัญของ Diavel คือ เครื่องยนต์ Ducati Testastretta 11° ที่พัฒนาจากเครื่องยนต์ของ Superbike1198 โดยปรับปรุงให้ตอบสนองทุกการขับขี่ เป็นสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและการขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยพลังขนาด 162 แรงม้าและแรงบิดขนาด 13 กม. โดยระบบ Testastretta 11° ใช้กลไกเปิด-ปิดวาล์วแบบ Desmodromic แต่ลดมุมโอเวอร์แล็ปจาก 41° เหลือ 11° ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้นุ่มนวลเน้นกำลังแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ รอบกำลังบิดกว้างขึ้น และมีฟิลลิ่งการตอบสนองเครื่องจะควบคุมง่ายโดยเครื่องยนต์ชุดนี้ถูกพัฒนาใช้ครั้งแรกกับ Ducati Multistrada 1200 โดยปรับปรุงจากเครื่องยนต์ของ Superbike 1198 นอกจากนี้การใช้ระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อแบบ Ride By Wire หรือลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยระบบฟูลอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การตอบสนองเครื่องยนต์แม่นยำและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดค่ามลพิษมากกว่า
ระบบคายไอเสียใช้ท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 58 มม. จัดวางการส่งต่อไอเสียแบบ 2-1-2 พร้อมระบบวาล์วควบคุมแรงดันไอเสียในท่อร่วมไอเสียทำให้การแรงดันของไอเสีย สมดุลกับรอบเครื่องยนต์ พร้อมด้วยระบบควบคุมไอเสียแคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ มาตรฐาน Euro 3 ด้านการระบายความร้อน Diavel ใช้ปั๊มน้ำระบายความร้อนขนาดใบพัด 64 มม. ช่วยเพิ่มอัตราไหลของระบบหล่อเย็นได้มากกว่าเดิมถึง 35% ในขณะใช้รอบสูง เมื่อรวมกับดีไซน์ชุดแผงหม้อน้ำที่ครอบด้วยชุดดักอากาศทำให้ อุณหภูมิเครื่องยนต์มีสภาพพร้อมให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา
ระบบเกียร์ของ Diavel ถูกออกแบบใหม่เพื่อรองรับการถ่ายทอดกำลังไปยังยางหลังขนาด 240 มม. โดยเฉพาะ ระบบตัดต่อกำลังเป็นคลัตช์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกันโดยมีสถานะเป็น Slipper คลัตช์ในตัว ซึ่งทำงานโดยแรงขับที่ส่งผ่านตัวชุดคลัตช์หากแรงกระทำเป็นแบบ Negative หรือแรงบิดย้อนกลับ (เช่นการลดเกียร์อย่างรวดเร็ว) มากเกินค่าหนึ่งตัวคลัตช์ก็จะลดแรงกดของสปริงกดคลัตช์เพื่อลดการส่งแรง กระชากที่เกิดกับล้อหลังให้น้อยลง และจะกลับมาเป็นปกติเมื่อกำลังที่ส่งผ่านชุดคลัตช์กลับมาเป็น Positive หรือเมื่ออัพเกียร์ใช้อัตราเร่ง, หรือเมื่อความเร็วเครื่องยนต์สมดุลกับอัตราทดปัจจุบัน และด้วยการปรับปรุงระบบการส่งกำลังดังกล่าวทำให้การตอบสนองต่อการขับขี่ได้ อย่างเฉียบคมแม่นยำและปลอดภัยต่อการใช้งานบนท้องถนน
ระยะการซ่อมบำรุงใหม่ที่ 24,000 กม.
ด้วยการปรับปรุงการออกแบบเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงทำให้ระยะการเข้ารับการบริการใหญ่ เช่นเข้าตรวจเช็กระยะห่างวาล์วไอดี-ไอเสียถูกยืดออกไปเป็น 24,000 กม.
ระยะการซ่อมบำรุงใหม่ที่ 24,000 กม.
ด้วยการปรับปรุงการออกแบบเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงทำให้ระยะการเข้ารับการบริการใหญ่ เช่นเข้าตรวจเช็กระยะห่างวาล์วไอดี-ไอเสียถูกยืดออกไปเป็น 24,000 กม.
เฟรมและโครงสร้างหลัก
ตัวเฟรมหลักของ Diavel ยังคงเอกลักษณ์แบบสเปซเฟรมแบบ Trellis Frame โดยมีการออกแบบเพิ่มขนาดท่อเฟรมโครโมลี่ ส่วนซับเฟรมท้ายเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป สามารถรองรับแรงบิดมหาศาลของเครื่องยนต์ได้อย่างดี น้ำหนักเบา กะทัดรัด, ด้านท้ายอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ เช่น แผ่นรองป้ายทะเบียนและบังโคลนล้อหลังและวัสดุภายในส่วนท้ายผลิตจากวัสดุ Complex Technopolymer คุณภาพสูง ส่วนสวิงอาร์มหลังแบบซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์มเป็นอะลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปให้ฟิลการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยระยะฐานล้อ 1,590 มม. รองรับมุมเอียงเข้าโค้งได้ถึง 41° จากแนวดิ่ง
ตัวเฟรมหลักของ Diavel ยังคงเอกลักษณ์แบบสเปซเฟรมแบบ Trellis Frame โดยมีการออกแบบเพิ่มขนาดท่อเฟรมโครโมลี่ ส่วนซับเฟรมท้ายเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป สามารถรองรับแรงบิดมหาศาลของเครื่องยนต์ได้อย่างดี น้ำหนักเบา กะทัดรัด, ด้านท้ายอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ เช่น แผ่นรองป้ายทะเบียนและบังโคลนล้อหลังและวัสดุภายในส่วนท้ายผลิตจากวัสดุ Complex Technopolymer คุณภาพสูง ส่วนสวิงอาร์มหลังแบบซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์มเป็นอะลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปให้ฟิลการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยระยะฐานล้อ 1,590 มม. รองรับมุมเอียงเข้าโค้งได้ถึง 41° จากแนวดิ่ง
ระบบกันสะเทือน
Diavel เบสเวอร์ชั่นจะมาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ (USD) ขนาด 50 มม. ของ Mazocchi สามารถปรับสปริงพรีโหลด - อัตรายุบตัวและคืนตัวได้อิสระ พร้อมกับชุดยึดแกนโช้คอัพด้านล่างแบบอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปกับแกนแผงคอแบบ Triple-Clamp ตัวยึดแนวเฉียง ส่วนด้านบนแผงคอเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ติดตั้งพร้อมชุดลดแรงสะเทือน Rubber-Mounted ที่ตุ๊กตาแฮนด์ ส่วนแฮนด์เป็นโลหะอะลูมิเนียมอัลลอยด์ท่อทรงโคน ชุดกันสะเทือนหน้าให้มุมชัน 28° และระยะเทลล้อที่ 130 มม. ระยะออฟเซ็ตแกนดุมล้อกับมุมชันตกกระทบที่ 24 มม. ให้มุมหักเลี้ยวซ้าย-ขวาด้านละ 35° (รวม 70°) ส่วน Diavel Carbon ใช้โช้คหน้ารุ่นเดียวกันแต่เคลือบสาร Low-Friction Diamond-Like Carbon (DLC) สีดำ
ระบบกันสะเทือนหลังทั้ง 2 เวอร์ชั่นใช้ของ Sachs ตัวกระบอกโช้คอัพวางแนวนอนใต้ส่วนท้ายห้องเกียร์ทำงานด้วยกระทบแรงแบบ ก้าวหน้าแบบ Pull-Rod Linkage กับซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์ม ปรับตั้งอัตราหน่วงการยุบตัวและคืนตัวได้ ส่วนสปริงพรีโหลดสามารถปรับตั้งได้ด้วยมืออย่างง่ายดาย
ระบบกันสะเทือนหลังทั้ง 2 เวอร์ชั่นใช้ของ Sachs ตัวกระบอกโช้คอัพวางแนวนอนใต้ส่วนท้ายห้องเกียร์ทำงานด้วยกระทบแรงแบบ ก้าวหน้าแบบ Pull-Rod Linkage กับซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์ม ปรับตั้งอัตราหน่วงการยุบตัวและคืนตัวได้ ส่วนสปริงพรีโหลดสามารถปรับตั้งได้ด้วยมืออย่างง่ายดาย
ล้อ-ยาง
ล้อ ของ Diavel เป็นอะลูมิเนียมแบบ 14 ก้านขนาดล้อหน้า 3.5 x 17 นิ้ว ส่วนล้อหลังทรงเดียวกันเน้นความแข็งแรงทางโครงสร้าง น้ำหนักเบาขนาด 8 x 17 นิ้วส่วนรุ่น Diavel Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum จาก Marchesini ผลิตเป็นพิเศษด้วยการใช้เครื่องจักรมาแต่งลวดลายบนล้อให้ดูน่าสวยงามและมี น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก. สำหรับยางทีมออกแบบและพัฒนา Diavel ได้ทำงานร่วมกับ Pirelli จนได้ยางซีรีส์ Diablo Rosso II โดยยางหน้าใช้ขนาด 120/70 17 ที่ดีไซน์มาเป็นพิเศษให้การเกาะถนนสูงสุดสำหรับถนนเปียก ส่วนยางหลังใช้ขนาด 240/45 17 ซึ่งเป็นยางแบบพิเศษที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Diavel ช่วยให้การขับขี่สามารถได้อารมณ์ตอบสนองแบบสปอร์ตมากกว่าที่ใครจะคิด เนื้อยางจาก Pirelli โดยเฉพาะล้อหลังใช้เทคโนโลยีการออกแบบส่วนผสมแบบ Bi-Compund เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนมากที่สุดเมื่อเอียงรถเข้าโค้ง และมีอายุการใช้งานยาวนานรับกับแรงบิดแรงกระชากตัวของเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสมด้วยเทคนิค (EPT) ให้หน้าสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนนเป็นไปอย่างสมดุลทุกมุมเอียงของรถ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานในทุกสภาพอากาศโดยเฉพาะเมื่อถนนเปียกหรือขับขี่กลางฝน ในการออกแบบยางหลังให้กับ Diavel ชุดนี้วิศวกรของ Pirelli ต้องทำงานคู่ขนานไปกับการดีไซน์ตัวรถของทีมวิศวกรของ Ducati เพื่อโครงสร้างหลักและยางทำงานสอดคล้องกันได้อย่างลงตัวที่สุดจนอาจจะเรียก ได้ว่าเปลี่ยนกฎการออกแบบสำหรับรถคลาสนี้ไปเลย
ล้อ ของ Diavel เป็นอะลูมิเนียมแบบ 14 ก้านขนาดล้อหน้า 3.5 x 17 นิ้ว ส่วนล้อหลังทรงเดียวกันเน้นความแข็งแรงทางโครงสร้าง น้ำหนักเบาขนาด 8 x 17 นิ้วส่วนรุ่น Diavel Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum จาก Marchesini ผลิตเป็นพิเศษด้วยการใช้เครื่องจักรมาแต่งลวดลายบนล้อให้ดูน่าสวยงามและมี น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก. สำหรับยางทีมออกแบบและพัฒนา Diavel ได้ทำงานร่วมกับ Pirelli จนได้ยางซีรีส์ Diablo Rosso II โดยยางหน้าใช้ขนาด 120/70 17 ที่ดีไซน์มาเป็นพิเศษให้การเกาะถนนสูงสุดสำหรับถนนเปียก ส่วนยางหลังใช้ขนาด 240/45 17 ซึ่งเป็นยางแบบพิเศษที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Diavel ช่วยให้การขับขี่สามารถได้อารมณ์ตอบสนองแบบสปอร์ตมากกว่าที่ใครจะคิด เนื้อยางจาก Pirelli โดยเฉพาะล้อหลังใช้เทคโนโลยีการออกแบบส่วนผสมแบบ Bi-Compund เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนมากที่สุดเมื่อเอียงรถเข้าโค้ง และมีอายุการใช้งานยาวนานรับกับแรงบิดแรงกระชากตัวของเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสมด้วยเทคนิค (EPT) ให้หน้าสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนนเป็นไปอย่างสมดุลทุกมุมเอียงของรถ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานในทุกสภาพอากาศโดยเฉพาะเมื่อถนนเปียกหรือขับขี่กลางฝน ในการออกแบบยางหลังให้กับ Diavel ชุดนี้วิศวกรของ Pirelli ต้องทำงานคู่ขนานไปกับการดีไซน์ตัวรถของทีมวิศวกรของ Ducati เพื่อโครงสร้างหลักและยางทำงานสอดคล้องกันได้อย่างลงตัวที่สุดจนอาจจะเรียก ได้ว่าเปลี่ยนกฎการออกแบบสำหรับรถคลาสนี้ไปเลย
ระบบเบรกหลัก Brembo + ABS ของ Bosch
ระบบเบรกหน้าของ Diavel ทุกเวอร์ชั่นใช้ปั๊มเบรก Brembo แบบ Monobloc แบบ 4 ลูกสูบเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมแม่ปั๊มเบรกแบบเรเดียลเมาท์ที่ออกแบบ เรือนกระปุกน้ำมันเบรกอะลูมิเนียมให้เสมือนเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวแม่ปั๊ม ทำงานร่วมกับจานเบรกหน้าแบบทวินดิสก์ขนาดจาน 320 มม. แบบเซมิโฟล์ทติ้งดิสก์ ส่วนเบรกหลังใช้ขนาดจาน 265 มม. แม่ปั๊มหลักแบบ 2 ลูกสูบจาก Brembo เช่นกัน ในเวอร์ชั่น Diavel Carbon แผ่นยึดจานเบรกออกแบบเซาะร่องโชว์เนื้อโลหะตัดกับสีดำของแผ่นยึดจานเบรก เมื่อเทียบคุณภาพแล้วระบบเบรกของ Ducati Diavel ถือว่ามีมาตรฐานสูงสุดในตลาดเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกัน ระบบ ABS ป้องกันล้อล็อกตายเป็นระบบใหม่ล่าสุดที่ Brembo และ Bosch ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน เมื่อรวมกับการใช้ยางแบบเนื้อผสม Enhanced Patch Technology (EPT) จาก Pirelli แล้วทำให้ภาพรวมของระบบเบรกของ Diavel มีประสิทธิภาพสูงสุดเทียบเท่ากับรุ่นท็อปของ Ducati Superbike
เทคโนโลยีใน Ducati Diavel
ระบบเบรกหน้าของ Diavel ทุกเวอร์ชั่นใช้ปั๊มเบรก Brembo แบบ Monobloc แบบ 4 ลูกสูบเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมแม่ปั๊มเบรกแบบเรเดียลเมาท์ที่ออกแบบ เรือนกระปุกน้ำมันเบรกอะลูมิเนียมให้เสมือนเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวแม่ปั๊ม ทำงานร่วมกับจานเบรกหน้าแบบทวินดิสก์ขนาดจาน 320 มม. แบบเซมิโฟล์ทติ้งดิสก์ ส่วนเบรกหลังใช้ขนาดจาน 265 มม. แม่ปั๊มหลักแบบ 2 ลูกสูบจาก Brembo เช่นกัน ในเวอร์ชั่น Diavel Carbon แผ่นยึดจานเบรกออกแบบเซาะร่องโชว์เนื้อโลหะตัดกับสีดำของแผ่นยึดจานเบรก เมื่อเทียบคุณภาพแล้วระบบเบรกของ Ducati Diavel ถือว่ามีมาตรฐานสูงสุดในตลาดเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกัน ระบบ ABS ป้องกันล้อล็อกตายเป็นระบบใหม่ล่าสุดที่ Brembo และ Bosch ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน เมื่อรวมกับการใช้ยางแบบเนื้อผสม Enhanced Patch Technology (EPT) จาก Pirelli แล้วทำให้ภาพรวมของระบบเบรกของ Diavel มีประสิทธิภาพสูงสุดเทียบเท่ากับรุ่นท็อปของ Ducati Superbike
เทคโนโลยีใน Ducati Diavel
1.แผงระบายความร้อนด้านข้างตัวรถ
เพื่อให้ตัวรถดูสะอาดตามากที่สุด การแก้ปัญหาโดยใช้เทคนิคชั้นสูงด้วยการออกแบบแผงระบายความร้อนไว้ที่ด้านข้างของตัวรถทั้งสองด้านพร้อมพัดลมระบายความร้อน โดยการดีไซน์แบบนี้จะใช้หลักอากาศพลศาสตร์มาช่วยดึงเอาความร้อนออกจากแผงหม้อน้ำขณะที่มีพัดลมไฟฟ้ามาช่วยทำงานในกรณีที่วิ่งความเร็วต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นการผสานระหว่างรูปลักษณ์และประสิทธิภาพการใช้งานให้ได้ ประโยชน์สูงสุด
2.หน้าปัดแยกส่วนการแสดงผล
ผลงาน ระดับ Masterpiece ที่น่าทึ่งบน Ducati Diavel คือเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ LCD แบบแยกส่วนการแสดงข้อมูลโดยแบ่งตามลำดับความสำคัญต่อการขับขี่ โดยจอแสดงผลที่หน้าปัด จะแสดงสัญลักษณ์ไฟเตือนต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว, ไฟสูง, ไฟเตือนเครื่องยนต์ - น้ำมันเชื้อเพลิง - น้ำมันเครื่อง - แสดงเวลา - อุณหภูมิ ส่วนจอแสดงผลด้านล่างบนถังน้ำมันใช้เทคโนโลยี TFT (Thin Film Transistor ซึ่งเป็นเทคนิคของจอแสดงผลสำหรับโมบายโฟน และมอนิเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ) แสดงผลในโหมด 16.7 ล้านสี พร้อมปรับค่าความเข้มตามระดับแสงสว่างในขณะใช้งานโดยอัตโนมัติโดยการเปลี่ยนโทนสีของ Background เป็นสีขาวยามกลางวันและสีดำยามกลางคืนหรือแสงน้อย แสดงโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้ พร้อมทั้งแสดงโหมดการทำงานของ ระบบ DTC และ Ride-by-Wire กรณีที่ผู้ใช้งานมีการปรับตั้ง ซึ่ง Diavel เป็นรถรุ่นแรกในโลกที่ใช้จอ TFT ในการแสดงผล
ผลงาน ระดับ Masterpiece ที่น่าทึ่งบน Ducati Diavel คือเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ LCD แบบแยกส่วนการแสดงข้อมูลโดยแบ่งตามลำดับความสำคัญต่อการขับขี่ โดยจอแสดงผลที่หน้าปัด จะแสดงสัญลักษณ์ไฟเตือนต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว, ไฟสูง, ไฟเตือนเครื่องยนต์ - น้ำมันเชื้อเพลิง - น้ำมันเครื่อง - แสดงเวลา - อุณหภูมิ ส่วนจอแสดงผลด้านล่างบนถังน้ำมันใช้เทคโนโลยี TFT (Thin Film Transistor ซึ่งเป็นเทคนิคของจอแสดงผลสำหรับโมบายโฟน และมอนิเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ) แสดงผลในโหมด 16.7 ล้านสี พร้อมปรับค่าความเข้มตามระดับแสงสว่างในขณะใช้งานโดยอัตโนมัติโดยการเปลี่ยนโทนสีของ Background เป็นสีขาวยามกลางวันและสีดำยามกลางคืนหรือแสงน้อย แสดงโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้ พร้อมทั้งแสดงโหมดการทำงานของ ระบบ DTC และ Ride-by-Wire กรณีที่ผู้ใช้งานมีการปรับตั้ง ซึ่ง Diavel เป็นรถรุ่นแรกในโลกที่ใช้จอ TFT ในการแสดงผล
3.ระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์
ระบบกุญแจของ Diavelเ ป็นกุญแจอิเล็กทรอนิกส์เพียงผู้ขับขี่มีกุญแจและอยู่ใกล้ตัวรถในระยะ 2 เมตร ระบบในตัวรถเช็กรหัสกุญแจโดยอัตโนมัติ ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ตเครื่องและเปิดระบบฟังก์ชั่นต่างๆ บนตัวรถได้ การสตาร์ตเครื่องยนต์เพียงกดปุ่มบนกุญแจ ON กดสวิตช์แฮนด์ขวา (Ignition) ไปที่ตำแหน่ง ON และกดสตาร์ตเครื่องยนต์ กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ภายในประกอบด้วยวงจรที่ควบคุมด้วยคลื่นวิทยุ ส่วนภายนอกตัวดอกตัวกุญแจเป็นแบบพับเก็บสำหรับเปิดฝาถังน้ำมันและเบาะนั่ง เมื่อต้องการจอดรถโดยให้ระบบล็อกรถทำงาน กดปุ่ม Ingition ในเป็น Off จากนั้นหักคอรถให้สุดด้านซ้ายหรือด้านขวา ตามด้วยการกดปุ่ม Ignition-Off ครั้งที่ 2 ระบบจะทำการล็อกคอให้อัตโนมัติ
ระบบกุญแจของ Diavelเ ป็นกุญแจอิเล็กทรอนิกส์เพียงผู้ขับขี่มีกุญแจและอยู่ใกล้ตัวรถในระยะ 2 เมตร ระบบในตัวรถเช็กรหัสกุญแจโดยอัตโนมัติ ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ตเครื่องและเปิดระบบฟังก์ชั่นต่างๆ บนตัวรถได้ การสตาร์ตเครื่องยนต์เพียงกดปุ่มบนกุญแจ ON กดสวิตช์แฮนด์ขวา (Ignition) ไปที่ตำแหน่ง ON และกดสตาร์ตเครื่องยนต์ กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ภายในประกอบด้วยวงจรที่ควบคุมด้วยคลื่นวิทยุ ส่วนภายนอกตัวดอกตัวกุญแจเป็นแบบพับเก็บสำหรับเปิดฝาถังน้ำมันและเบาะนั่ง เมื่อต้องการจอดรถโดยให้ระบบล็อกรถทำงาน กดปุ่ม Ingition ในเป็น Off จากนั้นหักคอรถให้สุดด้านซ้ายหรือด้านขวา ตามด้วยการกดปุ่ม Ignition-Off ครั้งที่ 2 ระบบจะทำการล็อกคอให้อัตโนมัติ
4.ระบบ Ride-By-Wire(RbW)
ระบบ เปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นส่วนที่เชื่อมการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่กับเครื่องยนต์ โดยจะตอบสนองการทำงานกับคันเร่งและโหมดการขับขี่ (3 โหมด) ที่ผู้ขับขี่ได้เลือกไว้ ระบบ Ride-By-Wire จะไม่มีสายสลิงจากคันเร่งไปควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อโดยตรงอีกต่อไป แต่จะส่งสัญญาณไปยังชุด ECU เพื่อประมวลผลและสั่งการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อในระดับที่เหมาะสมโดยตัวระบบ นี้มี Mapping แผนการทำงานล่วงหน้าอยู่ 3 แบบ เช่นโหมด Sport และโหมด Touring เครื่องยนต์จะให้แรงม้าเต็มที่ 162 แรงม้า และ 100 แรงม้าสำหรับการขับขี่ในโหมด Urban สำหรับการขับขี่ในเมืองหรือย่านจราจรหนาแน่น
ระบบ เปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นส่วนที่เชื่อมการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่กับเครื่องยนต์ โดยจะตอบสนองการทำงานกับคันเร่งและโหมดการขับขี่ (3 โหมด) ที่ผู้ขับขี่ได้เลือกไว้ ระบบ Ride-By-Wire จะไม่มีสายสลิงจากคันเร่งไปควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อโดยตรงอีกต่อไป แต่จะส่งสัญญาณไปยังชุด ECU เพื่อประมวลผลและสั่งการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อในระดับที่เหมาะสมโดยตัวระบบ นี้มี Mapping แผนการทำงานล่วงหน้าอยู่ 3 แบบ เช่นโหมด Sport และโหมด Touring เครื่องยนต์จะให้แรงม้าเต็มที่ 162 แรงม้า และ 100 แรงม้าสำหรับการขับขี่ในโหมด Urban สำหรับการขับขี่ในเมืองหรือย่านจราจรหนาแน่น
5.โหมดการขับขี่ Riding Modes
เป็นนวัตกรรมล่าสุดของ Ducati ที่มีการนำโหมดการขับขี่มาให้ผู้ใช้ได้เลือกตามความเหมาะสมโดยเลือกได้ง่ายดายผ่านสวิตช์ควบคุมที่แฮนด์ซ้าย โหมดการขับขี่ยังเป็นตัวประสานการทำงานกับระบบอื่นๆ อย่าง RbW และ DTC
โดย ระบบ RbW เป็นชุดแผนผังการทำงานรวมของระบบโดยรับข้อมูลจากระดับการเปิดปิดคันเร่งของ ผู้ขับขี่ ส่วนระบบ DTC จะมีระดับการทำงานทั้งหมด 8 ระดับเน้นการทำงานเพื่อป้องกันล้อหลังสไลด์จากการเปิดคันเร่งอย่างรุนแรง ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับการตอบสนองทั้ง RbW และ DTC ได้ทั้ง 3 โหมดการขับขี่ และบันทึกค่าต่างๆ เป็นค่าส่วนตัวตามความต้องการได้ ตัวเลือกโหมดการขับขี่มี 3 ทางเลือกต่อไปนี้
โหมด Sport
โหมด Sport เครื่องยนต์จะตอบสนองกำลังสูงสุดด้วยกำลังขนาด 162 แรงม้าผู้ขับขี่จะได้อารมณ์ของการเปิดสุดคันเร่งให้ความรู้สึกตอบสนองของ พลังจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° อย่างเต็มที่ ในโหมดนี้ระบบ DTC เพื่อป้องกันล้อหลังหมุนฟรีจะทำงานเพียงในระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่ากำหนดเรื่องการยึดเกาะถนนของยางหลัง
โหมด Touring
ในโหมดการเดินทางไกลนี้เครื่องยนต์จะตอบสนองต่อคันเร่งด้วยกำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้าเช่นกันกับโหมด Sport แต่ให้ฟิลลิ่งของการขับขี่ที่นุ่มนวลกว่า-ไหลลื่นและให้ความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่ ตัวระบบ DTC จะปรับการทำงานไปที่ระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความปลอดภัยแต่ยังคงอารมณ์สนุกจากการเดินทางไกลได้ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย
โหมด Urban
เป็นโหมดสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันเช่นการขับขี่ในเมือง หรือที่มีการจราจรพลุกพล่าน ซึ่งเน้นการขับขี่ที่คล่องตัวกำลังเครื่องยนต์ตอบสนองสมดุลด้วยแรงม้า 100 แรงม้า พร้อมกับระบบ DTC ที่เพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นระดับ 5 รองรับการขับขี่แบบ หยุดๆ วิ่งๆ ในตัวเมืองต่างๆ ได้ดี
เป็นนวัตกรรมล่าสุดของ Ducati ที่มีการนำโหมดการขับขี่มาให้ผู้ใช้ได้เลือกตามความเหมาะสมโดยเลือกได้ง่ายดายผ่านสวิตช์ควบคุมที่แฮนด์ซ้าย โหมดการขับขี่ยังเป็นตัวประสานการทำงานกับระบบอื่นๆ อย่าง RbW และ DTC
โดย ระบบ RbW เป็นชุดแผนผังการทำงานรวมของระบบโดยรับข้อมูลจากระดับการเปิดปิดคันเร่งของ ผู้ขับขี่ ส่วนระบบ DTC จะมีระดับการทำงานทั้งหมด 8 ระดับเน้นการทำงานเพื่อป้องกันล้อหลังสไลด์จากการเปิดคันเร่งอย่างรุนแรง ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับการตอบสนองทั้ง RbW และ DTC ได้ทั้ง 3 โหมดการขับขี่ และบันทึกค่าต่างๆ เป็นค่าส่วนตัวตามความต้องการได้ ตัวเลือกโหมดการขับขี่มี 3 ทางเลือกต่อไปนี้
โหมด Sport
โหมด Sport เครื่องยนต์จะตอบสนองกำลังสูงสุดด้วยกำลังขนาด 162 แรงม้าผู้ขับขี่จะได้อารมณ์ของการเปิดสุดคันเร่งให้ความรู้สึกตอบสนองของ พลังจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° อย่างเต็มที่ ในโหมดนี้ระบบ DTC เพื่อป้องกันล้อหลังหมุนฟรีจะทำงานเพียงในระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่ากำหนดเรื่องการยึดเกาะถนนของยางหลัง
โหมด Touring
ในโหมดการเดินทางไกลนี้เครื่องยนต์จะตอบสนองต่อคันเร่งด้วยกำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้าเช่นกันกับโหมด Sport แต่ให้ฟิลลิ่งของการขับขี่ที่นุ่มนวลกว่า-ไหลลื่นและให้ความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่ ตัวระบบ DTC จะปรับการทำงานไปที่ระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความปลอดภัยแต่ยังคงอารมณ์สนุกจากการเดินทางไกลได้ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย
โหมด Urban
เป็นโหมดสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันเช่นการขับขี่ในเมือง หรือที่มีการจราจรพลุกพล่าน ซึ่งเน้นการขับขี่ที่คล่องตัวกำลังเครื่องยนต์ตอบสนองสมดุลด้วยแรงม้า 100 แรงม้า พร้อมกับระบบ DTC ที่เพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นระดับ 5 รองรับการขับขี่แบบ หยุดๆ วิ่งๆ ในตัวเมืองต่างๆ ได้ดี
6.Ducati Traction Control (DTC)
ระบบ Ducati Traction Control หรือ DTC เป็นระบบสมองกลที่ฉลาดสุดๆ โดยจะทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวกลั่นกรองระหว่างอัตราการเปิดคันเร่งของผู้ขับขี่ และอัตราการตอบสนองของล้อหลังภายในเวลาเสี้ยววินาที ตัวระบบจะทำงานโดยการตรวจจับการหมุนของล้อ และตัดกำลังเครื่องยนต์หากกำลังที่ส่งผ่านไปยังล้อหลังนั้นเกินค่ากำหนด เรื่องการยึดเกาะของยางที่ตั้งระดับไว้ 8 ระดับซึ่งแต่ละระดับมี "ความไว" ในการตรวจจับการหมุนของล้อแตกต่างกันเช่น ในโหมด Sport ระดับ DTC จะอยู่ที่ระดับ 1 อันเป็นระดับที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ถึงประสิทธิภาพสูงสุดของยางในจังหวะที่เริ่มสไลด์ ส่วนระดับ 8 สูงสุดนั้นจะเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลักในทุกการขับขี่ เช่น การขับขี่ในเมือง หรือในถนนที่เปียกลื่น ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตามระดับทักษะการขับขี่ของตัวเองได้ทั้ง 3 โหมด และยังสามารถเลือกปรับค่าได้ตามความต้องการนอกเหนือจากค่าปกติของโรงงาน ทั้งยังสามารถคืนค่าของโรงงานได้โดย ไปที่เมนู A เลือก ตัวเลือก "Default" ค่ามาตรฐานของโรงงานจะถูกเรียกกลับมา
Ducati Diavel ในเวอร์ชั่นต่างๆ
ระบบ Ducati Traction Control หรือ DTC เป็นระบบสมองกลที่ฉลาดสุดๆ โดยจะทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวกลั่นกรองระหว่างอัตราการเปิดคันเร่งของผู้ขับขี่ และอัตราการตอบสนองของล้อหลังภายในเวลาเสี้ยววินาที ตัวระบบจะทำงานโดยการตรวจจับการหมุนของล้อ และตัดกำลังเครื่องยนต์หากกำลังที่ส่งผ่านไปยังล้อหลังนั้นเกินค่ากำหนด เรื่องการยึดเกาะของยางที่ตั้งระดับไว้ 8 ระดับซึ่งแต่ละระดับมี "ความไว" ในการตรวจจับการหมุนของล้อแตกต่างกันเช่น ในโหมด Sport ระดับ DTC จะอยู่ที่ระดับ 1 อันเป็นระดับที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ถึงประสิทธิภาพสูงสุดของยางในจังหวะที่เริ่มสไลด์ ส่วนระดับ 8 สูงสุดนั้นจะเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลักในทุกการขับขี่ เช่น การขับขี่ในเมือง หรือในถนนที่เปียกลื่น ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตามระดับทักษะการขับขี่ของตัวเองได้ทั้ง 3 โหมด และยังสามารถเลือกปรับค่าได้ตามความต้องการนอกเหนือจากค่าปกติของโรงงาน ทั้งยังสามารถคืนค่าของโรงงานได้โดย ไปที่เมนู A เลือก ตัวเลือก "Default" ค่ามาตรฐานของโรงงานจะถูกเรียกกลับมา
Ducati Diavel ในเวอร์ชั่นต่างๆ
Diavel Carbon
น้ำหนักรถจะอยู่ที่ 207 กก. การดีไซน์เป็นการผสมผสานชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับแนวคิดการออกแบบดั้งเดิม ของ Diavel ชิ้นส่วนติดรถหลายชิ้นถูกปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุน้ำหนักเบาพร้อมลวดลายให้อารมณ์ Sport และ Style ของ Diavel แท้ๆ อย่างลงตัว Diavel เวอร์ชั่น Red Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก., ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับชุดครอบถังน้ำมัน ครอบเบาะท้าย บังโคลนหน้า, โช้คอัพหน้า Mazocchi เคลือบสารลดแรงเสียดทาน - สีดำ เข้าชุดกับคาร์บอนไฟเบอร์บนตัวรถ และจานดิสก์สีดำผิวโลหะสไตล์งานมิลลิ่งน้ำหนักเบา
น้ำหนักรถจะอยู่ที่ 207 กก. การดีไซน์เป็นการผสมผสานชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับแนวคิดการออกแบบดั้งเดิม ของ Diavel ชิ้นส่วนติดรถหลายชิ้นถูกปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุน้ำหนักเบาพร้อมลวดลายให้อารมณ์ Sport และ Style ของ Diavel แท้ๆ อย่างลงตัว Diavel เวอร์ชั่น Red Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก., ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับชุดครอบถังน้ำมัน ครอบเบาะท้าย บังโคลนหน้า, โช้คอัพหน้า Mazocchi เคลือบสารลดแรงเสียดทาน - สีดำ เข้าชุดกับคาร์บอนไฟเบอร์บนตัวรถ และจานดิสก์สีดำผิวโลหะสไตล์งานมิลลิ่งน้ำหนักเบา
Diavel AMG Special Edition
ในรุ่นท็อปสุดของตระกูล Diavel รุ่นที่เป็นการประสานงานดีไซน์ร่วมกันระหว่าง Ducati และ AMG ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งชั้นนำของโลก ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับรถยนต์ Mercedes Benz การร่วมมือกันระหว่าง Ducati กับ AMG ทำให้ Diavel AMG ออกมาเป็นเวอร์ชั่นงานศิลปะอันน่าประทับใจในการผสมผสานสไตล์การออกแบบซึ่งกันและกันอย่างลงตัวด้วยสีสันโทน Diamond White Bright กับเฟรมสีขาว ตัววัสดุและอุปกรณ์ใน Diavel AMG นี้ใช้พื้นฐานของเวอร์ชั่น Diavel Carbon โดยจะโดดเด่นจากล้อเอกลักษณ์ของ AMG แบบ 5 ก้าน, ชุดคาร์บอนไฟเบอร์-อะลูมิเนียมครอบแผงหม้อน้ำ, ท่อไอเสีย AMG พร้อมแผงกันความร้อนคาร์บอนไฟเบอร์, เบาะนั่งลอนลูกคลื่นด้วยผ้าหุ้มเบาะแบบ Alcantara®., เครื่องยนต์มีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโดยปรับปรุงองศาแคมชาร์ฟโดยเป็นงานสร้างและปรับปรุงด้วยทีมเมคนานิคของ AMG โดยพวกเขามีปรัชญาในการทำงานที่เรียกว่า One-Man-One-Machine นั้นคือทีมแมคคานิคจะทำงานด้วยขั้นตอนที่เป็นเอกลักษณ์คือการมีแมคนิค 1 คนจะทำงานกับรถ 1 คันตั้งแต่ต้นกระบวนการจนจบการทำงาน เป็นการทำงานจากประสบการณ์ของแมคคานิคแต่ละค้น และรถทุกคนก็จะจารึกชื่อเมคนิคที่ดูแลรถคันนั้นเอาไว้ที่ด้านซ้ายของตัวเคส และรถทุกคันในเวอร์ชั่นนี้จะมีหลายเลขเฉพาะเรียงลำดับประดับอยู่บนถังน้ำมัน.
ในรุ่นท็อปสุดของตระกูล Diavel รุ่นที่เป็นการประสานงานดีไซน์ร่วมกันระหว่าง Ducati และ AMG ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งชั้นนำของโลก ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับรถยนต์ Mercedes Benz การร่วมมือกันระหว่าง Ducati กับ AMG ทำให้ Diavel AMG ออกมาเป็นเวอร์ชั่นงานศิลปะอันน่าประทับใจในการผสมผสานสไตล์การออกแบบซึ่งกันและกันอย่างลงตัวด้วยสีสันโทน Diamond White Bright กับเฟรมสีขาว ตัววัสดุและอุปกรณ์ใน Diavel AMG นี้ใช้พื้นฐานของเวอร์ชั่น Diavel Carbon โดยจะโดดเด่นจากล้อเอกลักษณ์ของ AMG แบบ 5 ก้าน, ชุดคาร์บอนไฟเบอร์-อะลูมิเนียมครอบแผงหม้อน้ำ, ท่อไอเสีย AMG พร้อมแผงกันความร้อนคาร์บอนไฟเบอร์, เบาะนั่งลอนลูกคลื่นด้วยผ้าหุ้มเบาะแบบ Alcantara®., เครื่องยนต์มีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโดยปรับปรุงองศาแคมชาร์ฟโดยเป็นงานสร้างและปรับปรุงด้วยทีมเมคนานิคของ AMG โดยพวกเขามีปรัชญาในการทำงานที่เรียกว่า One-Man-One-Machine นั้นคือทีมแมคคานิคจะทำงานด้วยขั้นตอนที่เป็นเอกลักษณ์คือการมีแมคนิค 1 คนจะทำงานกับรถ 1 คันตั้งแต่ต้นกระบวนการจนจบการทำงาน เป็นการทำงานจากประสบการณ์ของแมคคานิคแต่ละค้น และรถทุกคนก็จะจารึกชื่อเมคนิคที่ดูแลรถคันนั้นเอาไว้ที่ด้านซ้ายของตัวเคส และรถทุกคันในเวอร์ชั่นนี้จะมีหลายเลขเฉพาะเรียงลำดับประดับอยู่บนถังน้ำมัน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น