logo

ณัฏฐ์ โดย Nutt Krait

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

DUCATI DIAVEL (review) รีวิว ดูคาติ ทุกข้อมูลที่อยากรู้ แบบละเอียด พร้อมรูป ครับ

Ducati Diavel จักรยานยนต์พลังสูงทรงโหดจาก Ducati สำหรับนักบิดที่ชื่นชอบความท้าทายในการเดินทาง...

Ducati Diavel ถูกแสดงครั้งแรกในงาน มิลานอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ ปี 2010 ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจกับรูปลักษณ์ใหม่กับนักบิดทั่วโลก และตอกย้ำความประทับใจด้วยรางวัลต่างๆ และเป็นหนึ่งในโมเดลที่มียอดขายสูงสุด Ducati Diavel สร้างปรากฏการณ์ในรูปแบบใหม่ในตลาดรถกลุ่ม Sport Cruiser ทั้งทางด้านดีไซน์ ด้านวิศวกรรม ความลงตัวของเทคโนโลยีและศิลป์ ถ่ายทอดความเร้าใจในประสิทธิภาพด้านการขับขี่ พลังเครื่องยนต์อันมหาศาล ทุกอย่างลงตัวอยู่ใน Diavel ตัวรถ Ducati Diavel ถูกออกแบบและผลิตขึ้นตามแนวคิดความลงตัวของน้ำหนักที่เบา ให้พลังสูง ควบคุมง่าย เป็นมิตรกับผู้ขับขี่ ด้วยความสะดวกสบาย ด้วยเทคโนโลยีทันสมัยเช่นระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อกตายเมื่อใช้เบรกอย่างกะทันหันหรือแรงเกินไป ระบบ DTC หรือ Ducati Traction Control ช่วยผู้ขับขี่ควบคุมการถ่ายทอดกำลังผ่านล้อหลังอย่างมั่นใจ มั่นคงด้วยดีไซน์ ให้พลังเหลือเฟือจากเครื่องยนต์ 162 แรงม้ากับน้ำหนักตัว 207 กก. ยางหลังขนาด 240 มม. ซีรีส์ใหม่สำหรับเติมเต็มให้การขับขี่ในโค้งทำได้อย่างง่ายดาย เสริมบุคลิกความทันสมัย ด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอิเล็กทรอนิกส์มากมาย และสามารถต่อเติมไลฟ์สไตล์ของผู้ขับขี่ได้ตามใจจากอุปกรณ์เสริมของ Ducati Performance




Ducati Diavel มีให้เลือก 4 เวอร์ชั่นตั้งแต่เวอร์ชั่นมาตรฐาน ตามด้วย Diavel Carbon ซึ่งเพิ่มเติมลักษณะเฉพาะด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ หรือจะเลือกเวอร์ชั่นสไตล์หรูหรามีระดับกับ Diavel Cromo และพิเศษสุดกับเวอร์ชั่น Diavel AMG บรรจุชิ้นส่วนพิเศษจากสำนักแต่งชื่อดังก้องโลกอย่าง AMG




จินตนาการจากสัญชาตญาณดิบ
โปรเจกต์เริ่มต้นของ Diavel เริ่มต้นเมื่อนักออกแบบของ Ducati ใส่ความต้องการส่วนลึกในสัญชาตญาณดิบของตัวเองแล้ววาดมันลงในกระดาษ กับคำถาม "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า" เรามีวิธีการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ในฝัน ซึ่งพวกเราก็ได้สเกตช์มันออกมาในรถแบบ Long and Low “ความท้าทายในการสร้างเครื่องยนต์ที่แสดงให้เห็นพลังที่ดุดันน่าเกรงขาม กับให้พบความละเมียดละไมบนสัมผัสที่ละเอียดอ่อนและผลสรุปที่ได้คือ ส่วนหน้าที่ดูแข็งแรงดุดัน” ทีมดีไซน์ผู้รับผิดชอบโครงการได้อธิบายถึงดีไซน์ของโปรเจกต์ Diavel ส่วนล้อหน้าจะต้องอยู่ชิดกับตัวรถ และทำให้ส่วนท้ายสั้นเหมือนรถสปอร์ต ซึ่งทำให้เราได้รถสไตล์ Muscular ที่กลมกลืนกับดีไซน์โครงสร้างเชสซีหลักที่เป็นเอกลักษณ์ของเราอย่างลงตัว หากการแสดงออกที่โกรธเกรี้ยวเป็นความน่าเกรงขามรุ่น Streetfighter การแสดงออกของ Diavel ก็คือท่าทางของความองอาจ และแสดงความมั่นใจที่เหนือกว่า ด้วยแผงหม้อน้ำระบายความร้อนเหมือนหน้าอกที่ผึ่งผายและช่วงไหล่ที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ผสมกับเอวที่คอดกิ่ว (บริเวณเบาะนั่ง) รับแผงออยล์คูลเลอร์ด้านหน้าที่เหมือนกล้ามหน้าท้องที่แข็งแกร่งเสริมด้วย เส้นสายโครงร่างที่สวยงาม ยางหลังขนาด 240 มม. เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งสำหรับการออกแบบโดยไม่ยอมให้มันเป็นข้อจำกัดในการออกแบบ โดยทีม R&D พยายามที่จะหาหนทางที่จะใช้มันให้ได้แม้จะรู้ว่าภาพร่างที่เขาส่งให้จะสร้างแรงสะเทือนให้วงการมอเตอร์ไซค์ก็ตามที




ปรัชญาของ Ducati สำหรับการสร้างนวัตกรรมนั้นขยายขอบเขตของการออกแบบรถจักรยานยนต์ไห้ตื่นเต้นได้ตลอดมา และ Diavel คือ Ducati แท้ๆ ที่เกิดจากความต้องการออกแบบรถจักรยานยนต์เพื่อแสดงประสิทธิภาพความเป็น Ducati ในทุกๆ การตอบสนอง

ชื่อเรียกขานนาม "Diavel" คำว่า "Diavel" นั้นได้แรงบันดาลใจจากภาษาท้องถิ่น Bolognese ของอิตาลีมีความหมายเท่ากับคำว่า "Devil" หรือ "ปิศาจ" วันหนึ่งในช่วงแรกๆ ของการพัฒนารถ ระหว่างที่กลุ่มวิศวกรและดีไซเนอร์กำลังประกอบรถต้นแบบเต็มคันเป็นครั้งแรก ใครคนหนึ่งพูดขึ้นหลังจากที่เห็นภาพเงาดำจากด้านหลังของตัวรถด้วยสำเนียง Bolognese ว่า “Ignuràntcomm’ al diavel!” ซึ่งมีความหมายว่า "ปิศาจ มันดูเป็นปิศาจชัดๆ" ซึ่งเช่นเดียวกับที่มาของรถในตระกูล "Monster" เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ ชื่อ Diavel ยังคงถ่ายทอดวิธีการกำหนดนามเรียกขานแก่รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ตามประวัติศาสตร์วัฒนธรรมของโรงงาน ความสะดวกสบายทั้งผู้ขับขี่และซ้อนท้าย
เบาะนั่งของ Diavel เป็นแบบ Twin-Level ที่กว้างขวางนั่งสบายและได้รูปทรงที่สวยงามของเส้นสายเข้ากับตัวรถ และด้วยความสูงเบาะส่วนผู้ขับขี่ที่ 770 มม. เป็นหนึ่งในรถรุ่นที่มีเบาะนั่งต่ำที่สุดของ Ducati นอกจากเบาะนั่งแล้วในโครงสร้างหลักที่ต่ำและการปรับน้ำหนักให้อยู่ที่ 207 กก. (สำหรับเวอร์ชั่น Diavel Carbon) ช่วยให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสความรู้สึกเต็มสองเท้า ด้วยท่าทางที่มั่นใจในการควบคุมรถ นอกจากได้ความสวยงามเข้ากับตัวรถแล้ว การถอดฝาครอบเบาะท้ายที่ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ยังทำได้อย่างง่ายดายยามมีผู้ซ้อนท้ายที่จะรู้สึกสบายจากพักเท้าหลังแบบ T-bar ที่ผลิตจากวัสดุอะลูมิเนียมอะโนไดซ์สีดำที่พับเก็บซ้อนได้ใต้ซับเฟรมหลัง พร้อมกลับหูจับท้ายใต้เบาะนั่งซึ่งเก็บซ้อนใต้เบาะและดึงได้ยามใช้งาน ช่วยให้ผู้ซ้อนท้ายมั่นใจมากขึ้นในการเดินทาง




ระบบส่องสว่าง
ชุดไฟหน้าของ Diavel แบบแยกส่วนไฟสูงไฟต่ำโคมสะท้อนแสงแบบมัลติรีเฟร็คเตอร์ พร้อมไฟแสดงตำแหน่งคาดกลางแบบ LED กรอบโคมไฟหน้าเป็นวัสดุอะลูมิเนียมทั้งชิ้น ให้แสงสว่างและมุมแสงที่มองเห็นได้ชัดตามมาตรฐานยุโรป ชุดไฟท้าย Diavel ใช้ไฟท้าย-ไฟเบรก-ไฟเลี้ยวแบบ LED สองแถวเรียงตัวในแนวดิ่งโค้งมนเข้ากับด้านท้ายตัวรถให้แสงสว่างและมุมมองตัดกับโทนดำของตัวรถทำให้รถอื่นๆ มองเห็นเด่นชัด และทำให้มุมมองด้านท้ายสวยงามโล่งโปร่งสายตา เช่นเดียวกับไฟเลี้ยวด้านหน้าถูกวางอยู่ริมขอบแผงหม้อน้ำทั้งสองข้างให้สัญญาณไฟเห็นเด่นชัดและเข้ารูปกับตัวรถ




ชุดแผ่นติดป้ายทะเบียนพร้อมไฟส่องป้ายฉีกแนว
อุปกรณ์ สำหรับติดแผ่นป้ายทะเบียนของ Diavel โดยโครงยึดแผ่นป้ายยึดติดปลายสุดของชุดสวิงอาร์ม ดีไซน์แบบเทรลลิสเฟรมรับกันอย่างลงตัวสะท้อนถึงความเป็นดูคาติ ส่วนตัวแท่นยึดแผ่นป้ายออกแบบให้เป็นบังโคลนล้อหลังรับกับขนาดยาง 240 มม. เสริมความงามด้วยชุดไฟส่องป้ายทะเบียนแบบ LED ที่เก็บซ้อนสายไฟมาเป็นอย่างดีเสริมสไตล์ของตัวรถให้ดุดันแบบ Dragster เต็มพิกัด




ถังน้ำมันและช่องดักอากาศ
ถังน้ำมันของ Diavel มีขนาดความจุ 17 ลิตร แสดงถึงสไตล์โดยรวมของตัวรถ เส้นสายแบบไร้รอยต่อของถังน้ำมันเริ่มต้นจากแผงไฟหน้าลาดยาวจรดเบาะนั่ง และซับเฟรมหลัง จุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือหน้าจอแบบความละเอียดสูงที่ถูกติดตั้งอยู่บนส่วนบนของถังน้ำมัน ขณะเดียวกันด้านข้างซ้ายและขวาของตัวถังนั้นคือท่อดักอากาศขนาดใหญ่เพื่อส่งอากาศจำนวนมากเข้าสู่หม้อกรองอากาศเป็นช่องหายใจของเครื่องยนต์ Testastretta11° ให้กำลังขนาด 162 แรงม้าได้ทำงานตามหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่





อุปกรณ์ และการควบคุม
สัดส่วนของตัวรถเน้นการควบคุมรถที่ให้ความรู้สึกสะดวกสบายเป็น หลักแฮนเดิ้ลบาร์หน้า มุมวางแขนกว้าง มีมุมรับกับข้อมือและช่วงแขน ทำจากอะลูมิเนียมทรงโคนให้ช่วงการควบคุมสวิตช์ต่างๆ จากนิ้วมือได้อย่างดี มือเบรกและคลัตช์เป็นแบบไฮโดรลิกส์ชุดมาสเตอร์ของ Brembo ชุดกระจกส่องหลังเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป จัดวางในมุมที่ไม่บดบังทัศนวิสัยการขับขี่ด้านหน้า และมองเห็นได้รวดเร็วที่ด้านหลังสวิตช์ปุ่มควบคุมออกแบบให้กระชับมือให้ความ มั่นใจในการใช้งานและเรียนรู้ได้ง่ายโดยปุ่มแต่ละปุ่มจะมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นปุ่ม Engine On / Off, ปุ่มควบคุมไฟเลี้ยว ซ้าย-ขวา และปุ่มควบคุมโหมดการขับขี่ ทุกอย่างมีการใช้งานเด่นชัด ส่วนหน้าจอดิสเพลย์ แบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนของเรือนไมล์ และหน้าจอแสดงโหมดการขับขี่บนถังน้ำมัน โดยทั้งสองส่วนใช้โหมดแสดงผลแบบ TFT ให้ความคมชัดและสีสันถึง 16.7 ล้านสี โดยเฉพาะหน้าจอที่เรือนไมล์นั้นใช้เวลาละสายตาเพื่อดูหน้าจอระหว่างการ ขับขี่สั้นมาก สัญลักษณ์ต่างๆ เข้าใจง่าย




ลวดลายและสีสัน
Diavel จะมีสีดำไดมอนด์แบล็ค ซึ่งตัวเฟรมจะเป็นสีดำและใช้ล้อสีดำล้วน ส่วน Diavel Carbon Red จะเป็นเส้นแถบสีแดงบนถังน้ำมันและฝาครอบรุ่น โดยล้อจะเป็น Forged Aluminum สีดำกัดลายโชว์เนื้ออะลูมิเนียม เน้นเส้นสายเสริมความโดดเด่นบนตัวรถ ส่วน Diavel Cromo เน้นโทนสีเงิน-ดำ ชุดครอบถังน้ำมันสีเงินโลหะโลโก้ Ducati ย้อนประวัติศาสตร์ และรุ่น Diavel AMG นั้นเป็นเวอร์ชั่นพิเศษสร้างชิ้นส่วนพิเศษงานคาร์บอนไฟเบอร์จากสำนักแต่ง ชื่อก้องโลก AMG สีเฟรม "ไดมอนด์ ไวท์-ไบร์ท" ตัดโทนดำของตัวรถและล้อแม็กห้าก้านดีไซน์พิเศษ




ประสิทธิภาพจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมสำหรับอารมณ์ขับขี่สนุกและเดินทางไกล
หัวใจ สำคัญของ Diavel คือ เครื่องยนต์ Ducati Testastretta 11° ที่พัฒนาจากเครื่องยนต์ของ Superbike1198 โดยปรับปรุงให้ตอบสนองทุกการขับขี่ เป็นสมดุลที่ลงตัวระหว่างเครื่องยนต์สมรรถนะสูงและการขับขี่ที่สนุกสนาน ด้วยพลังขนาด 162 แรงม้าและแรงบิดขนาด 13 กม. โดยระบบ Testastretta 11° ใช้กลไกเปิด-ปิดวาล์วแบบ Desmodromic แต่ลดมุมโอเวอร์แล็ปจาก 41° เหลือ 11° ทำให้เครื่องยนต์ตอบสนองได้นุ่มนวลเน้นกำลังแรงบิดสูงตั้งแต่รอบต่ำ รอบกำลังบิดกว้างขึ้น และมีฟิลลิ่งการตอบสนองเครื่องจะควบคุมง่ายโดยเครื่องยนต์ชุดนี้ถูกพัฒนาใช้ครั้งแรกกับ Ducati Multistrada 1200 โดยปรับปรุงจากเครื่องยนต์ของ Superbike 1198 นอกจากนี้การใช้ระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อแบบ Ride By Wire หรือลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยระบบฟูลอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้การตอบสนองเครื่องยนต์แม่นยำและช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและลดค่ามลพิษมากกว่า




ระบบคายไอเสียใช้ท่อขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 58 มม. จัดวางการส่งต่อไอเสียแบบ 2-1-2 พร้อมระบบวาล์วควบคุมแรงดันไอเสียในท่อร่วมไอเสียทำให้การแรงดันของไอเสีย สมดุลกับรอบเครื่องยนต์ พร้อมด้วยระบบควบคุมไอเสียแคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์ มาตรฐาน Euro 3 ด้านการระบายความร้อน Diavel ใช้ปั๊มน้ำระบายความร้อนขนาดใบพัด 64 มม. ช่วยเพิ่มอัตราไหลของระบบหล่อเย็นได้มากกว่าเดิมถึง 35% ในขณะใช้รอบสูง เมื่อรวมกับดีไซน์ชุดแผงหม้อน้ำที่ครอบด้วยชุดดักอากาศทำให้ อุณหภูมิเครื่องยนต์มีสภาพพร้อมให้ประสิทธิภาพสูงสุดได้ตลอดเวลา




ระบบเกียร์ของ Diavel ถูกออกแบบใหม่เพื่อรองรับการถ่ายทอดกำลังไปยังยางหลังขนาด 240 มม. โดยเฉพาะ ระบบตัดต่อกำลังเป็นคลัตช์แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกันโดยมีสถานะเป็น Slipper คลัตช์ในตัว ซึ่งทำงานโดยแรงขับที่ส่งผ่านตัวชุดคลัตช์หากแรงกระทำเป็นแบบ Negative หรือแรงบิดย้อนกลับ (เช่นการลดเกียร์อย่างรวดเร็ว) มากเกินค่าหนึ่งตัวคลัตช์ก็จะลดแรงกดของสปริงกดคลัตช์เพื่อลดการส่งแรง กระชากที่เกิดกับล้อหลังให้น้อยลง และจะกลับมาเป็นปกติเมื่อกำลังที่ส่งผ่านชุดคลัตช์กลับมาเป็น Positive หรือเมื่ออัพเกียร์ใช้อัตราเร่ง, หรือเมื่อความเร็วเครื่องยนต์สมดุลกับอัตราทดปัจจุบัน และด้วยการปรับปรุงระบบการส่งกำลังดังกล่าวทำให้การตอบสนองต่อการขับขี่ได้ อย่างเฉียบคมแม่นยำและปลอดภัยต่อการใช้งานบนท้องถนน

ระยะการซ่อมบำรุงใหม่ที่ 24,000 กม.
ด้วยการปรับปรุงการออกแบบเครื่องยนต์ Testastretta 11° พร้อมคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงและเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงทำให้ระยะการเข้ารับการบริการใหญ่ เช่นเข้าตรวจเช็กระยะห่างวาล์วไอดี-ไอเสียถูกยืดออกไปเป็น 24,000 กม.




เฟรมและโครงสร้างหลัก
ตัวเฟรมหลักของ Diavel ยังคงเอกลักษณ์แบบสเปซเฟรมแบบ Trellis Frame โดยมีการออกแบบเพิ่มขนาดท่อเฟรมโครโมลี่ ส่วนซับเฟรมท้ายเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป สามารถรองรับแรงบิดมหาศาลของเครื่องยนต์ได้อย่างดี น้ำหนักเบา กะทัดรัด, ด้านท้ายอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ เช่น แผ่นรองป้ายทะเบียนและบังโคลนล้อหลังและวัสดุภายในส่วนท้ายผลิตจากวัสดุ Complex Technopolymer คุณภาพสูง ส่วนสวิงอาร์มหลังแบบซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์มเป็นอะลูมิเนียมฉีดขึ้นรูปให้ฟิลการขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยระยะฐานล้อ 1,590 มม. รองรับมุมเอียงเข้าโค้งได้ถึง 41° จากแนวดิ่ง




ระบบกันสะเทือน 
Diavel เบสเวอร์ชั่นจะมาพร้อมระบบกันสะเทือนหน้าแบบหัวกลับ (USD) ขนาด 50 มม. ของ Mazocchi สามารถปรับสปริงพรีโหลด - อัตรายุบตัวและคืนตัวได้อิสระ พร้อมกับชุดยึดแกนโช้คอัพด้านล่างแบบอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปกับแกนแผงคอแบบ Triple-Clamp ตัวยึดแนวเฉียง ส่วนด้านบนแผงคอเป็นอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ติดตั้งพร้อมชุดลดแรงสะเทือน Rubber-Mounted ที่ตุ๊กตาแฮนด์ ส่วนแฮนด์เป็นโลหะอะลูมิเนียมอัลลอยด์ท่อทรงโคน ชุดกันสะเทือนหน้าให้มุมชัน 28° และระยะเทลล้อที่ 130 มม. ระยะออฟเซ็ตแกนดุมล้อกับมุมชันตกกระทบที่ 24 มม. ให้มุมหักเลี้ยวซ้าย-ขวาด้านละ 35° (รวม 70°) ส่วน Diavel Carbon ใช้โช้คหน้ารุ่นเดียวกันแต่เคลือบสาร Low-Friction Diamond-Like Carbon (DLC) สีดำ

ระบบกันสะเทือนหลังทั้ง 2 เวอร์ชั่นใช้ของ Sachs ตัวกระบอกโช้คอัพวางแนวนอนใต้ส่วนท้ายห้องเกียร์ทำงานด้วยกระทบแรงแบบ ก้าวหน้าแบบ Pull-Rod Linkage กับซิงเกิ้ลไซด์สวิงอาร์ม ปรับตั้งอัตราหน่วงการยุบตัวและคืนตัวได้ ส่วนสปริงพรีโหลดสามารถปรับตั้งได้ด้วยมืออย่างง่ายดาย




ล้อ-ยาง
ล้อ ของ Diavel เป็นอะลูมิเนียมแบบ 14 ก้านขนาดล้อหน้า 3.5 x 17 นิ้ว ส่วนล้อหลังทรงเดียวกันเน้นความแข็งแรงทางโครงสร้าง น้ำหนักเบาขนาด 8 x 17 นิ้วส่วนรุ่น Diavel Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum จาก Marchesini ผลิตเป็นพิเศษด้วยการใช้เครื่องจักรมาแต่งลวดลายบนล้อให้ดูน่าสวยงามและมี น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก. สำหรับยางทีมออกแบบและพัฒนา Diavel ได้ทำงานร่วมกับ Pirelli จนได้ยางซีรีส์ Diablo Rosso II โดยยางหน้าใช้ขนาด 120/70 17 ที่ดีไซน์มาเป็นพิเศษให้การเกาะถนนสูงสุดสำหรับถนนเปียก ส่วนยางหลังใช้ขนาด 240/45 17 ซึ่งเป็นยางแบบพิเศษที่สร้างขึ้นมาสำหรับ Diavel ช่วยให้การขับขี่สามารถได้อารมณ์ตอบสนองแบบสปอร์ตมากกว่าที่ใครจะคิด เนื้อยางจาก Pirelli โดยเฉพาะล้อหลังใช้เทคโนโลยีการออกแบบส่วนผสมแบบ Bi-Compund เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนมากที่สุดเมื่อเอียงรถเข้าโค้ง และมีอายุการใช้งานยาวนานรับกับแรงบิดแรงกระชากตัวของเครื่องยนต์ได้อย่างเหมาะสมด้วยเทคนิค (EPT) ให้หน้าสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนนเป็นไปอย่างสมดุลทุกมุมเอียงของรถ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานในทุกสภาพอากาศโดยเฉพาะเมื่อถนนเปียกหรือขับขี่กลางฝน ในการออกแบบยางหลังให้กับ Diavel ชุดนี้วิศวกรของ Pirelli ต้องทำงานคู่ขนานไปกับการดีไซน์ตัวรถของทีมวิศวกรของ Ducati เพื่อโครงสร้างหลักและยางทำงานสอดคล้องกันได้อย่างลงตัวที่สุดจนอาจจะเรียก ได้ว่าเปลี่ยนกฎการออกแบบสำหรับรถคลาสนี้ไปเลย




ระบบเบรกหลัก Brembo + ABS ของ Bosch
ระบบเบรกหน้าของ Diavel ทุกเวอร์ชั่นใช้ปั๊มเบรก Brembo แบบ Monobloc แบบ 4 ลูกสูบเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมแม่ปั๊มเบรกแบบเรเดียลเมาท์ที่ออกแบบ เรือนกระปุกน้ำมันเบรกอะลูมิเนียมให้เสมือนเป็นชิ้นเดียวกันกับตัวแม่ปั๊ม ทำงานร่วมกับจานเบรกหน้าแบบทวินดิสก์ขนาดจาน 320 มม. แบบเซมิโฟล์ทติ้งดิสก์ ส่วนเบรกหลังใช้ขนาดจาน 265 มม. แม่ปั๊มหลักแบบ 2 ลูกสูบจาก Brembo เช่นกัน ในเวอร์ชั่น Diavel Carbon แผ่นยึดจานเบรกออกแบบเซาะร่องโชว์เนื้อโลหะตัดกับสีดำของแผ่นยึดจานเบรก เมื่อเทียบคุณภาพแล้วระบบเบรกของ Ducati Diavel ถือว่ามีมาตรฐานสูงสุดในตลาดเมื่อเทียบกับรถประเภทเดียวกัน ระบบ ABS ป้องกันล้อล็อกตายเป็นระบบใหม่ล่าสุดที่ Brembo และ Bosch ได้ร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน เมื่อรวมกับการใช้ยางแบบเนื้อผสม Enhanced Patch Technology (EPT) จาก Pirelli แล้วทำให้ภาพรวมของระบบเบรกของ Diavel มีประสิทธิภาพสูงสุดเทียบเท่ากับรุ่นท็อปของ Ducati Superbike

เทคโนโลยีใน Ducati Diavel




1.แผงระบายความร้อนด้านข้างตัวรถ
เพื่อให้ตัวรถดูสะอาดตามากที่สุด การแก้ปัญหาโดยใช้เทคนิคชั้นสูงด้วยการออกแบบแผงระบายความร้อนไว้ที่ด้านข้างของตัวรถทั้งสองด้านพร้อมพัดลมระบายความร้อน โดยการดีไซน์แบบนี้จะใช้หลักอากาศพลศาสตร์มาช่วยดึงเอาความร้อนออกจากแผงหม้อน้ำขณะที่มีพัดลมไฟฟ้ามาช่วยทำงานในกรณีที่วิ่งความเร็วต่ำ ทั้งหมดนี้เป็นการผสานระหว่างรูปลักษณ์และประสิทธิภาพการใช้งานให้ได้ ประโยชน์สูงสุด




2.หน้าปัดแยกส่วนการแสดงผล
ผลงาน ระดับ Masterpiece ที่น่าทึ่งบน Ducati Diavel คือเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ LCD แบบแยกส่วนการแสดงข้อมูลโดยแบ่งตามลำดับความสำคัญต่อการขับขี่ โดยจอแสดงผลที่หน้าปัด จะแสดงสัญลักษณ์ไฟเตือนต่างๆ เช่น ไฟเลี้ยว, ไฟสูง, ไฟเตือนเครื่องยนต์ - น้ำมันเชื้อเพลิง - น้ำมันเครื่อง - แสดงเวลา - อุณหภูมิ ส่วนจอแสดงผลด้านล่างบนถังน้ำมันใช้เทคโนโลยี TFT (Thin Film Transistor ซึ่งเป็นเทคนิคของจอแสดงผลสำหรับโมบายโฟน และมอนิเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ) แสดงผลในโหมด 16.7 ล้านสี พร้อมปรับค่าความเข้มตามระดับแสงสว่างในขณะใช้งานโดยอัตโนมัติโดยการเปลี่ยนโทนสีของ Background เป็นสีขาวยามกลางวันและสีดำยามกลางคืนหรือแสงน้อย แสดงโหมดการขับขี่ที่เลือกไว้ พร้อมทั้งแสดงโหมดการทำงานของ ระบบ DTC และ Ride-by-Wire กรณีที่ผู้ใช้งานมีการปรับตั้ง ซึ่ง Diavel เป็นรถรุ่นแรกในโลกที่ใช้จอ TFT ในการแสดงผล




3.ระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์
ระบบกุญแจของ Diavelเ ป็นกุญแจอิเล็กทรอนิกส์เพียงผู้ขับขี่มีกุญแจและอยู่ใกล้ตัวรถในระยะ 2 เมตร ระบบในตัวรถเช็กรหัสกุญแจโดยอัตโนมัติ ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ตเครื่องและเปิดระบบฟังก์ชั่นต่างๆ บนตัวรถได้ การสตาร์ตเครื่องยนต์เพียงกดปุ่มบนกุญแจ ON กดสวิตช์แฮนด์ขวา (Ignition) ไปที่ตำแหน่ง ON และกดสตาร์ตเครื่องยนต์ กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ภายในประกอบด้วยวงจรที่ควบคุมด้วยคลื่นวิทยุ ส่วนภายนอกตัวดอกตัวกุญแจเป็นแบบพับเก็บสำหรับเปิดฝาถังน้ำมันและเบาะนั่ง เมื่อต้องการจอดรถโดยให้ระบบล็อกรถทำงาน กดปุ่ม Ingition ในเป็น Off จากนั้นหักคอรถให้สุดด้านซ้ายหรือด้านขวา ตามด้วยการกดปุ่ม Ignition-Off ครั้งที่ 2 ระบบจะทำการล็อกคอให้อัตโนมัติ




4.ระบบ Ride-By-Wire(RbW)
ระบบ เปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อที่ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์จะเป็นส่วนที่เชื่อมการใช้คันเร่งของผู้ขับขี่กับเครื่องยนต์ โดยจะตอบสนองการทำงานกับคันเร่งและโหมดการขับขี่ (3 โหมด) ที่ผู้ขับขี่ได้เลือกไว้ ระบบ Ride-By-Wire จะไม่มีสายสลิงจากคันเร่งไปควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อโดยตรงอีกต่อไป แต่จะส่งสัญญาณไปยังชุด ECU เพื่อประมวลผลและสั่งการเปิด-ปิดลิ้นปีกผีเสื้อในระดับที่เหมาะสมโดยตัวระบบ นี้มี Mapping แผนการทำงานล่วงหน้าอยู่ 3 แบบ เช่นโหมด Sport และโหมด Touring เครื่องยนต์จะให้แรงม้าเต็มที่ 162 แรงม้า และ 100 แรงม้าสำหรับการขับขี่ในโหมด Urban สำหรับการขับขี่ในเมืองหรือย่านจราจรหนาแน่น




5.โหมดการขับขี่ Riding Modes
เป็นนวัตกรรมล่าสุดของ Ducati ที่มีการนำโหมดการขับขี่มาให้ผู้ใช้ได้เลือกตามความเหมาะสมโดยเลือกได้ง่ายดายผ่านสวิตช์ควบคุมที่แฮนด์ซ้าย โหมดการขับขี่ยังเป็นตัวประสานการทำงานกับระบบอื่นๆ อย่าง RbW และ DTC

โดย ระบบ RbW เป็นชุดแผนผังการทำงานรวมของระบบโดยรับข้อมูลจากระดับการเปิดปิดคันเร่งของ ผู้ขับขี่ ส่วนระบบ DTC จะมีระดับการทำงานทั้งหมด 8 ระดับเน้นการทำงานเพื่อป้องกันล้อหลังสไลด์จากการเปิดคันเร่งอย่างรุนแรง ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับการตอบสนองทั้ง RbW และ DTC ได้ทั้ง 3 โหมดการขับขี่ และบันทึกค่าต่างๆ เป็นค่าส่วนตัวตามความต้องการได้ ตัวเลือกโหมดการขับขี่มี 3 ทางเลือกต่อไปนี้

โหมด Sport
โหมด Sport เครื่องยนต์จะตอบสนองกำลังสูงสุดด้วยกำลังขนาด 162 แรงม้าผู้ขับขี่จะได้อารมณ์ของการเปิดสุดคันเร่งให้ความรู้สึกตอบสนองของ พลังจากเครื่องยนต์ Testastretta 11° อย่างเต็มที่ ในโหมดนี้ระบบ DTC เพื่อป้องกันล้อหลังหมุนฟรีจะทำงานเพียงในระดับ 1 ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับค่ากำหนดเรื่องการยึดเกาะถนนของยางหลัง

โหมด Touring
ในโหมดการเดินทางไกลนี้เครื่องยนต์จะตอบสนองต่อคันเร่งด้วยกำลังสูงสุดที่ 162 แรงม้าเช่นกันกับโหมด Sport แต่ให้ฟิลลิ่งของการขับขี่ที่นุ่มนวลกว่า-ไหลลื่นและให้ความสะดวกสบายกับผู้ขับขี่ ตัวระบบ DTC จะปรับการทำงานไปที่ระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับที่ให้ความปลอดภัยแต่ยังคงอารมณ์สนุกจากการเดินทางไกลได้ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้าย

โหมด Urban
เป็นโหมดสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันเช่นการขับขี่ในเมือง หรือที่มีการจราจรพลุกพล่าน ซึ่งเน้นการขับขี่ที่คล่องตัวกำลังเครื่องยนต์ตอบสนองสมดุลด้วยแรงม้า 100 แรงม้า พร้อมกับระบบ DTC ที่เพิ่มระดับความปลอดภัยเป็นระดับ 5 รองรับการขับขี่แบบ หยุดๆ วิ่งๆ ในตัวเมืองต่างๆ ได้ดี




6.Ducati Traction Control (DTC)
ระบบ Ducati Traction Control หรือ DTC เป็นระบบสมองกลที่ฉลาดสุดๆ โดยจะทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวกลั่นกรองระหว่างอัตราการเปิดคันเร่งของผู้ขับขี่ และอัตราการตอบสนองของล้อหลังภายในเวลาเสี้ยววินาที ตัวระบบจะทำงานโดยการตรวจจับการหมุนของล้อ และตัดกำลังเครื่องยนต์หากกำลังที่ส่งผ่านไปยังล้อหลังนั้นเกินค่ากำหนด เรื่องการยึดเกาะของยางที่ตั้งระดับไว้ 8 ระดับซึ่งแต่ละระดับมี "ความไว" ในการตรวจจับการหมุนของล้อแตกต่างกันเช่น ในโหมด Sport ระดับ DTC จะอยู่ที่ระดับ 1 อันเป็นระดับที่เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถรับรู้ถึงประสิทธิภาพสูงสุดของยางในจังหวะที่เริ่มสไลด์ ส่วนระดับ 8 สูงสุดนั้นจะเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลักในทุกการขับขี่ เช่น การขับขี่ในเมือง หรือในถนนที่เปียกลื่น ซึ่งผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตามระดับทักษะการขับขี่ของตัวเองได้ทั้ง 3 โหมด และยังสามารถเลือกปรับค่าได้ตามความต้องการนอกเหนือจากค่าปกติของโรงงาน ทั้งยังสามารถคืนค่าของโรงงานได้โดย ไปที่เมนู A เลือก ตัวเลือก "Default" ค่ามาตรฐานของโรงงานจะถูกเรียกกลับมา

Ducati Diavel ในเวอร์ชั่นต่างๆ




Diavel Carbon
น้ำหนักรถจะอยู่ที่ 207 กก. การดีไซน์เป็นการผสมผสานชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับแนวคิดการออกแบบดั้งเดิม ของ Diavel ชิ้นส่วนติดรถหลายชิ้นถูกปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุน้ำหนักเบาพร้อมลวดลายให้อารมณ์ Sport และ Style ของ Diavel แท้ๆ อย่างลงตัว Diavel เวอร์ชั่น Red Carbon ใช้ล้อ Forged Aluminum น้ำหนักเบากว่าปกติ 2.5 กก., ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์กับชุดครอบถังน้ำมัน ครอบเบาะท้าย บังโคลนหน้า, โช้คอัพหน้า Mazocchi เคลือบสารลดแรงเสียดทาน - สีดำ เข้าชุดกับคาร์บอนไฟเบอร์บนตัวรถ และจานดิสก์สีดำผิวโลหะสไตล์งานมิลลิ่งน้ำหนักเบา




Diavel AMG Special Edition
ในรุ่นท็อปสุดของตระกูล Diavel รุ่นที่เป็นการประสานงานดีไซน์ร่วมกันระหว่าง Ducati และ AMG ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกแต่งชั้นนำของโลก ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับรถยนต์ Mercedes Benz การร่วมมือกันระหว่าง Ducati กับ AMG ทำให้ Diavel AMG ออกมาเป็นเวอร์ชั่นงานศิลปะอันน่าประทับใจในการผสมผสานสไตล์การออกแบบซึ่งกันและกันอย่างลงตัวด้วยสีสันโทน Diamond White Bright กับเฟรมสีขาว ตัววัสดุและอุปกรณ์ใน Diavel AMG นี้ใช้พื้นฐานของเวอร์ชั่น Diavel Carbon โดยจะโดดเด่นจากล้อเอกลักษณ์ของ AMG แบบ 5 ก้าน, ชุดคาร์บอนไฟเบอร์-อะลูมิเนียมครอบแผงหม้อน้ำ, ท่อไอเสีย AMG พร้อมแผงกันความร้อนคาร์บอนไฟเบอร์, เบาะนั่งลอนลูกคลื่นด้วยผ้าหุ้มเบาะแบบ Alcantara®., เครื่องยนต์มีการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพโดยปรับปรุงองศาแคมชาร์ฟโดยเป็นงานสร้างและปรับปรุงด้วยทีมเมคนานิคของ AMG โดยพวกเขามีปรัชญาในการทำงานที่เรียกว่า One-Man-One-Machine นั้นคือทีมแมคคานิคจะทำงานด้วยขั้นตอนที่เป็นเอกลักษณ์คือการมีแมคนิค 1 คนจะทำงานกับรถ 1 คันตั้งแต่ต้นกระบวนการจนจบการทำงาน เป็นการทำงานจากประสบการณ์ของแมคคานิคแต่ละค้น และรถทุกคนก็จะจารึกชื่อเมคนิคที่ดูแลรถคันนั้นเอาไว้ที่ด้านซ้ายของตัวเคส และรถทุกคันในเวอร์ชั่นนี้จะมีหลายเลขเฉพาะเรียงลำดับประดับอยู่บนถังน้ำมัน.

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เคล็ดลับดีๆ สร้างกล้าม ให้ใหญ่ และหนา โดย อาโนล ชวาลเซเนกเกอร์

arnold11.jpg
วิธีสร้างกล้าม ให้ใหญ่ และหนา อย่างแท้จริงโดย อาโนล   ชวาลเซเนกเกอร์  สัมภาษณ์โดย บิล   ดอบบิน



       ถ้าใครคนหนึ่งจะสอนเรา เกี่ยวกับเรื่องนี้ คงไม่มีใครแน่ไปกว่า อาโนล   ชวาลเซเนกเกอร์  มิสเตอร์โอลิมเปีย 7 สมัย ผู้จะถ่ายทอด วิธีสร้างกล้ามเนื้อ ที่ใหญ่ และหนาอย่างแท้จริง ในการสัมภาษณ์ ตั้งแต่ยุคทอง แรกเริ่ม ของการเพาะกาย สมัยที่กล้าม ถูกสร้างขึ้น ด้วยหลักวิชา และการค้นพบ จริงๆ  ไม่ได้อยู่ บนความเคลือบแคลง เกี่ยวกับการใช้ ยากระตุ้น แต่ประการใด

       ไม่ว่า เราจะอยู่ใน ยุคใดของการเพาะกาย แม้จะเป็น ยุคที่เทคโนโลยี ในเรื่องต่างๆ พัฒนาถึง ขีดสูงสุด แล้วก็ตาม แต่คำถาม คลาสสิค ที่ยังคงใช้ได้ ทุกยุคทุกสมัย ก็คือ ทำอย่างไร จะทำให้ กล้ามเนื้อใหญ่โต เป็นยักษ์ปักหลั่นได้  และคำตอบ ก็ยังคงเดิมคือ ความใหญ่โต มาพร้อมกับความแข็งแกร่ง ( to get big  you have to get strong)

       เทคนิคพิเศษที่คุณได้รับรู้  ไม่ว่าจะโดย การฟัง  หรืออ่านจากนิตยสารเพาะกาย เล่มแล้วเล่มเล่า คุณจะพบกับ ศัพท์เทคนิค ต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เทคนิค การใช้พลังที่ครั้งสุดท้ายของเซท ( force reps) ,เทคนิค การพักเซท โดยไม่วางลูกน้ำหนัก ( rest - pause training) การโฆษณา เครื่องออกกำลัง ที่กล่าวว่า ออกแบบมา ให้ผลได้ อย่างแท้จริง  หรือการรับฟัง การสัมมนา จากแชมป์ (อธิบาย - คำว่าสัมมนา คือรูปแบบของ การถกปัญหากัน ในเรื่องของการเพาะกาย โดยมี ผู้ร่วมสัมมนา คือนักเพาะกาย ดาวรุ่งต่างๆ แล้วก็มี คนดูนั่งฟัง หรืออาจถามคำถามได้  ในเวลาที่จัดไว้ให้ ถ้านึกภาพไม่ออก ก็ขอให้คิดถึง รายการ "ขอคิดด้วยคน" ทางช่อง 11 แล้วกันครับ) มันก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ได้รับรู้ข้อมูลพวกนี้ แต่สำหรับนักเพาะกาย ขั้นเริ่มต้น หรือขั้นระดับกลาง มันจะทำให้คุณ รู้สึกสับสน เหมือนกับ อ่านหนังสือ ที่ถูกขีดเส้นใต้ เน้นข้อความสำคัญ ในทุกๆหน้า จนไม่รู้ว่า ข้อความไหน ที่สำคัญจริงๆ

       ก้าวแรก และเป็นก้าวสำคัญที่สุด ในการเพาะกายคือ คุณจะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง ว่าการสร้างกล้ามให้ใหญ่โต มโหฬาร นั้น เป็นไปได้ จงลืมเรื่อง โครงสร้างร่างกาย หรือขนาดกระดูก ของคุณไปซะ สร้างเป้าหมายของคุณ และจงฝึก ให้หนักที่สุด เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น จงจำเอาไว้ว่า จิตใจย่อมมาก่อนร่างกาย ถ้าคุณมีความเคลือบแคลง ถ้าคุณไม่เชื่ออย่างแท้จริง ว่ากล้ามคุณ จะใหญ่โตได้ คุณจะไม่มีทาง ประสบความสำเร็จ จงอย่าสร้างขีดจำกัด ให้ตัวเอง

ออกกำลังแบบพื้นๆ

       ก้าวต่อไปคือ การฝึกให้หนัก สิ่งที่ต้องเอาใจใส่ คือ ใช้ท่าออกกำลังแบบพื้นๆ บนหลักของ การใช้น้ำหนักมาก ด้วยการเคลื่อนไหว แบบธรรมดา  จงใช้บาร์เบลล์ และดัมเบลล์ แทนที่จะเป็น เครื่องกล หรือสายเคเบิล  ออกกำลังกล้ามเนื้อ ในร่างกาย ให้ครบทุกส่วน ขอทบทวนคำพูดเดิม "ความใหญ่โต มาพร้อมกับความแข็งแกร่ง"  ไม่มีอะไรที่ใหญ่ได้ โดยปราศจาก ความแข็งแกร่ง อย่าให้ คำพูดคนอื่น ทำให้คุณ ไขว้เขว ไปจากคำนี้

       หลักสากลของการสร้างกล้ามให้เติบโต อยู่บนพื้นฐานที่ว่า ไม่ว่าท่าที่คุณกำลังใช้ออกกำลังอยู่นั้น เป็นท่าไหน ต้องใช้น้ำหนัก ให้มาก และ จำนวนครั้ง ให้น้อยเข้าไว้  ในแต่ละท่า ต้องเริ่มที่ การวอร์มร่างกาย 1 เซท เป็นจำนวน 15 ครั้ง ก่อน จากนั้น จึงฝึก ด้วยน้ำหนักจริง 5 เซทขึ้นไป ไม่ว่าจะฝึกท่าอะไร ให้เพิ่มน้ำหนัก ทุกๆเซท ลดจำนวนครั้งลง จนกระทั่ง ในสองเซทสุดท้าย เหลือเซทละ  6 ครั้ง และในแต่ละเซท ให้ฝึกจนทำต่อไปไม่ได้อีกแล้ว จึงหยุดพัก ใช้แผ่นน้ำหนัก เท่าที่คุณทำจนหมดแรงพอดี ในเซทนั้นๆ

       แต่ถ้าคุณผ่านขั้นเริ่มต้น และขั้นระดับกลาง มาได้ระยะหนึ่งแล้ว (อธิบาย - ขั้นเริ่มต้น หมายถึง ฝึกตั้งแต่เริ่ม ถึง 1 ปีเป็นอย่างต่ำ ,ขั้นกลาง คือฝึกอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ 3 - 4 ปีขึ้นไป จึงจะถือ เป็นขั้นสูงสุด ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องเป็นการฝึกแบบต่อเนื่อง หากหยุดไปเกินกว่า 1 ปี ไม่ว่าคุณอยู่ขั้นไหน ก็ต้องลดลงไป 1 ขั้น) และเกิดภาวะ การเติบโตชงักงัน มันมีหลายวิธี ที่จะแก้ไข วิธีหนึ่งที่ดี และผมแนะนำให้ใช้ คือ ท่าออกกำลังของ นักยกน้ำหนัก (weightlifting) ไม่ว่าจะเป็น ท่า deadlift ,ท่า power clean ,ท่า snatch ,ท่า squat แบบลงไปครึ่งหนึ่ง (half squat) แต่จงจำไว้ว่า เมื่อคุณฝึกท่าเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัย จะต้องมีผู้ช่วย คอยดูแลอยู่ข้างหลัง อย่างน้อย 1 คน  ผลของมันเห็นได้ชัด ดูได้จากนักเพาะกาย ที่มีพื้นฐาน มาจากนักยกน้ำหนัก อย่างเช่น ฟรังโก  โคลัมบู ที่มีมัดกล้าม หนาและลึก อย่างที่ นักเพาะกาย ธรรมดา มิอาจมีได้
intensity
การฝึกแบบเร่าร้อน (Intensity)

       คำนี้ คุณจะพบบ่อยมาก ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการเพาะกาย และมันทำให้นักเพาะกายเริ่มต้น ที่มีไฟแรง ต้องไขว้เขวบ่อยๆ เพราะสิ่งที่เขาต้องการ คือให้กล้ามโตขึ้น  แบบทันใจ และคำตอบจากผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว ก็คือ ใช้การฝึกแบบเร่าร้อน (intensity) หมายถึง ฝึกให้หนัก ในระยะเวลาอันสั้น ไม่เกิน 40 นาที แต่ถ้าคุณ เป็นนักเพาะกายเริ่มต้น ผมขอแนะนำ ในสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือ ขอให้คุณ ใช้เวลาฝึกในแต่ละครั้ง ไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที ฝึกในสิ่งที่คุณ สามารถทำได้ใน 1 ชั่วโมง  ด้วยวิธีนี้ คุณก็จะ ไม่กังวล เรื่องการพักระหว่างเซท เพราะคุณพักได้เต็มที่ เป็นผลให้เพิ่มความแข็งแกร่ง ในเซทที่คุณจะฝึกต่อไป แทนที่จะทำตัวให้เหนื่อย เหมือนนักวิ่งมาราธอน ด้วยการพักน้อยๆ ระหว่างเซท ซึ่งจะทำให้คุณ ล้าเกินไปที่จะยกน้ำหนักมากๆได้

       นักเพาะกายหน้าใหม่ มักได้รับแนวคิดเรื่องการยกน้ำหนัก ผิดไปจาก ที่มันควรจะเป็น พวกเขามักจะ ใช้เทคนิคที่แย่ๆ ส่งผลไปถึง การชะงักงัน และบาดเจ็บกล้ามเนื้อ นิยามของการยกน้ำหนัก ไม่มีอะไรมากไปกว่า ทำให้กล้ามเนื้อคุณ ทำงานอย่างหนัก จนคุณ รู้สึกตัวได้ เมื่อจบการออกกำลัง ในวันนั้นๆ

       การยกน้ำหนักมากๆ เป็นสิ่งเดียวที่คุณต้องการ เมื่อจะสร้างกล้ามเนื้อ ให้โตขึ้น แต่ไม่ใช่ว่า เมื่อคุณฝึกท่า barbell curl คุณก็เริ่ม ด้วยการสวิงแขน และกระดกก้น หรือส่ายเอวไปข้างหน้า ข้างหลัง เพื่อช่วยยก บาร์เบลล์ที่หนักอึ้ง ให้จบเซทลงไปได้ นอกจากเป็น การกระทำ ที่โง่แล้ว มันไม่ได้ทำให้ไบเซบคุณ ได้รับการออกแรงมากพอที่มันจะโตแต่ประการใด แต่มันก็ถูกบรรจุ เป็นกลยุทธ์หนึ่ง สำหรับนักเพาะกายขั้นสูง นำมาใช้ เรียกว่า ระบบโกงตัวเอง (cheating)  เพราะเมื่อถึงระดับสูงแล้ว นักเพาะกายจะรู้ด้วยตัวเองว่า จะนำระบบโกงตัวเอง มาใช้ได้กับท่าไหน เมื่อไร  ฟรานโก   โคลัมบู เพื่อนผมก็ใช้ระบบนี้ กับบางท่า เช่น ท่า barbell curls แต่เขาใช้น้ำหนัก 75 กก. ฝึกท่านี้  ดังนั้นถ้าคุณ ใช้น้ำหนักแค่ 15 กก. แล้วยังใช้ระบบนี้อีก มันก็เสียเวลาเปล่าครับ

       ถ้าคุณพยายามอย่างมาก ที่จะให้กล้ามเนื้อโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงคือ การฝึกแบบ เกินพอดี (over train)  ยกตัวอย่าง ผมเองสมัยที่เริ่มฝึกใหม่ๆ แม้ว่าจะฝึกถึง อาทิตย์ละ 6 วัน ซึ่งดูแล้วน่าจะ เกินพอดีไป แต่ผมก็ป้องกันด้วยการ แยกกล้ามเนื้อฝึก ครั้งละ 1 ส่วนเท่านั้น และกล้ามเนื้อแต่ละส่วน จะฝึกไม่เกินสองครั้ง ในหนึ่งอาทิตย์

       ถ้าคุณฝึกกล้ามเนื้อ ส่วนใดก็ตาม ถึงสามครั้งในหนึ่งอาทิตย์ มันจะเกินความพอดีไป ดังนั้น ผมขอแนะนำวิธีฝึก แบบแบ่งส่วนฝึก ไม่ว่าจะเป็น ฝึกเฉพาะเย็น หรือ ฝึกทั้งเช้าทั้งเย็น ในรูปแบบของการ แบ่งกล้ามเนื้อฝึก จะทำให้คุณ สามารถฝึก กล้ามเนื้อทุกส่วน ได้ในเวลา 3 วัน ซึ่งเมื่อครบรอบนี้แล้ว คุณก็กลับไปเริ่มวงจรใหม่ ส่งผลให้ ใน 1 อาทิตย์ คุณก็จะฝึก กล้ามเนื้อแต่ละส่วน 2 ครั้ง   ทำให้กล้ามเนื้อ มีเวลาพักฟื้นมากขึ้น


ท่าที่อาโนล์แนะนำ สำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ ที่ใหญ่ และหนา อย่างแท้จริง
ส่วนของกล้ามเนื้อ
ท่าที่ใช้ฝึก
หน้าอก
Bench Press
Incline Press
Dumbbell Flye
ปีก
Chin - Up (ดึงข้อ)
Rowing - T Bar
Seated Cable
Bent - Over
บ่า
Shoulder Press
Behind - Neck Press
Lateral Raise
แขน
Barbell & Dumbbell Curl
Triceps Pressdown
Weighted Dip
ขา
Squat
Leg Press
Leg Extension
Leg Curl

การฝึกใน 1 เซท ของอาโนลล์
จำนวนครั้งน้อย
ใช้น้ำหนักมาก
แต่ละเซท เล่นจนหมดแรง
เซท
จำนวนครั้ง
เซท 1
15 ครั้ง (วอร์ม)
เซท 2
12 ครั้ง
เซท 3
10 ครั้ง
เซท 4
8 ครั้ง
เซท 5
6 ครั้ง
เซท 6
6 ครั้ง
ให้เพิ่มน้ำหนักในทุกๆเซท ให้มากที่สุดที่จะทำได้ พักระหว่างเซท นานกว่าปกตินิดหน่อย
arnold21.jpg
ลองใช้สัญชาติญาณเพี้ยนๆของคุณดูบ้าง

       ผมสนับสนุนให้คุณ ทำอะไรเพี้ยนๆบ้างเล็กน้อย เกี่ยวกับการเพาะกายของคุณ แน่นอนล่ะครับ ว่าชีวิตของ การเพาะกาย ย่อมหลีกนี้ไม่พ้น การคำนวณแครอรี่ การเอาใจใส่จำนวนน้ำหนัก ที่คุณใช้   การระมัดระวัง การปฏิบัติตัว ให้อยู่ในแบบในแผน ทั้งหมดที่พูดมานี้ ให้ผลดีกับคุณในระยะยาว แต่ถ้าเถรตรง ตลอดเวลา มันคงน่าเบื่อ และบางทีคุณ ก็อาจหาเหตุ หยุดเอาดื้อๆ ได้เหมือนกัน

       ถ้าคุณเคยอ่านหนังสือ เรื่อง "Education of a Bodybuilder" ของผม คุณคงจะจำได้ที่ ตอนหนึ่งผมพูดถึง การที่ผมกับเพื่อน พากันเดินเข้าป่า หาท่อนซุง มาฝึกท่า squat จนหมดแรง แล้วเอาท่อนซุงนั้น มาผ่า เอาไปสุมกองไฟ ย่างบาร์บีคิว ทำกระโจม นอนพักแรมกัน โดยสมมติพวกเรา เป็นนักรบเยอรมัน ที่รอวันเข้าตีเมืองโรม ยังไงยังงั้น  ความคิดเล่นสนุกอย่างนี้ ไม่ได้ทำกันทุกวัน ไม่มีใครว่าคุณ จิตวิปริตไปหรอก แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับทำให้คุณ ก้าวข้ามขอบเขตที่คุณ ตั้งไว้เองในอดีต และยังเพิ่มแรงจูงใจ ในการใช้ชีวิต ที่อยู่กับการฝึกหนักและการมีวินัย ตลอดเวลา

       ในโรงยิมนั้น แม้แต่นักเพาะกายผู้เคร่งขรึม เช่น คริส   ดิกเคอสัน ยังใช้การจินตนาการ เป็นแรงขับ ให้เกิดพลัง ในการยกน้ำหนัก  โดยทำจิตใจ ให้ฟุ้งซ่าน แต่คิดอย่างจริงจัง ว่าตัวเองเป็น วีรบุรุษในนวนิยาย อย่างเช่น เฮอร์คิวลิส ซึ่งทำให้เขา ทำลายลิมิตตัวเอง ในอดีตลงได้ อีกรายหนึ่งก็คือ พี่น้องนักเพาะกาย ฝาแผด เดวิด กับปีเตอร์ พอล ที่ชอบสมมติตัวเอง ว่าเป็นอีกคนหนึ่ง หลอกคนอื่นในโรงยิมให้หลงเชื่อ  และยังตกลงกันว่า ถ้าเขาเห็นคนไหน ยกลูกน้ำหนัก เท่าใดก็ตามในโรงยิม เขาสองคน ก็จะต้องยกลูกน้ำหนักนั้นให้ได้  ไม่ว่ามันจะหนักสักเท่าใดก็ตาม  ใช่แล้ว หนทางสู่ความเติบโต ของกล้ามเนื้อ บางทีคุณก็ต้อง ทำตัวให้เพี้ยนบ้าง

       แต่ไม่ใช่เพี้ยนมากจนโง่ แล้วทำร้ายตัวเอง อย่าลืมว่ามันเป็นแค่ จินตนาการเล็กๆเท่านั้น  การบาดเจ็บ ทำให้คุณต้องหยุดฝึก และใช้เวลาเป็นอาทิตย์ หรือเดือน กว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งส่งผลให้การเติบโต กล้ามเนื้อของคุณ สะดุดไปด้วย

การควบคุมอาหาร (Diet)

       การควบคุมอาหาร เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการสร้างกล้ามเนื้อ นักเพาะกายวัยรุ่นมักจะ พยายามเพิ่มขนาดตัวเอง ด้วยการทานอาหารปริมาณมาก ไม่ว่าจะเป็น เสต๊ก ไก่งวงตัวใหญ่ๆทั้งตัว นมเป็นถังๆ แต่ว่าร่างกายของเรานั้น จะใช้สิ่งที่ใช้ได้ในเวลาเดียวเท่านั้น ที่เหลือก็จะกลายเป็นไขมันไป

       เราต้องทาน หากเราต้องการเติบโต ผมแนะนำให้ทานอาหารมื้อเล็กๆ แต่หลายมื้อ แทนที่จะทานมื้อใหญ่แค่ 3 มื้อ ผมเริ่มด้วยการ ทานอาหารเช้าดีๆ เมื่อออกกำลังภาคเช้าแล้ว ผมจะทานโปรตีนปั่น หลังการออกกำลังทันที และทำเช่นนี้อีกที หลังการออกกำลังในตอนบ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับอาหารมื้อปกติ 4 มื้อ ของผมแล้ว ก็คือผมทานวันละ 6 มื้อนั่นเอง การทานอาหารอย่างนี้ จะทำให้คุณมีโปรตีน และคาร์โบไฮเดรต อยู่ในระบบร่างกายคุณ และนำมาใช้ได้ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายคุณต้องการ (อธิบาย - สำหรับนักเพาะกายแล้ว จะต้องไม่มีอาการหิว อย่างเด็ดขาด เพราะจะต้อง มีการตุนคาร์โบไฮเดรต และสารอาหารอย่างอื่น ในระบบร่างกายตลอดเวลา หากมีอาการนี้ คุณต้องปรับปรุงระบบ การทานอาหารของคุณใหม่)

       เมื่อคุณต้องการความใหญ่โต คุณไม่ได้ทำผิดหรอกหากไม่ได้ฝึกแอโรบิค ด้วยวิธีนี้ แม้ว่ามัน จะไม่สร้างความชัดเจน ให้กล้ามเนื้อมากนัก  แต่มันก็เป็นหนทาง ที่ดีที่สุด ที่จะทำให้กล้ามคุณ ใหญ่โตอย่างแท้จริงได้ เอาเป็นว่าถ้าคุณ เริ่มเห็นไขมัน แทนที่จะเป็นกล้ามเนื้อละก็ ลองลดอาหารลงนิดหนึ่ง หรือฝึกให้หนักขึ้นอีกหน่อยแล้วกัน

ฝึกกล้ามท้อง และกล้ามน่อง

       ข้อผิดพลาดอย่างหนึ่ง ที่นักเพาะกายวัยรุ่น ทำผิดมากก็คือ การปฏิเสธที่จะฝึกกล้ามท้อง และกล้ามน่อง พวกเขาพากันคิดว่า กล้ามสองส่วนนี้ สำคัญน้อยกว่า หน้าอก ปีก แขน หรือกล้ามเนื้อ ชิ้นใหญ่ชิ้นอื่นๆ ทั้งยังคิดว่า เขามีเวลาอีกมาก ที่จะฝึกกล้ามสองตัวนี้ภายหลัง อย่าจมกับภาพลวงอีกเลย คุณจะต้องรวม การฝึกกล้ามเนื้อสองส่วนนี้  เข้าไปในโปรแกรม การสร้างกล้าม ให้ใหญ่โตอย่างแท้จริงด้วย

       กล้ามน่องโตช้ามาก ดังนั้นคุณจะต้อง ฝึกมันเสียตั้งแต่เริ่มต้น กล้ามท้อง ก็เป็นส่วนที่สำคัญ ที่คุณมิอาจปฏิเสธได้ ในสมัยแรกๆ ผมมีปัญหาในเรื่อง การสร้างกล้ามน่องมาก จนกระทั่ง เรค   ปาร์ค แสดงวิธีการฝึกกล้ามน่องให้ผมดู เขาอธิบายว่า ตัวเขาน้ำหนัก 100 กก. (220 ปอนด์) ดังนั้น ในการฝึกกล้ามน่องแต่ละข้าง จะต้องใช้ลูกน้ำหนัก 140 - 180 กก.( 300 - 400 ปอนด์) เมื่อคำนวณ ตามอัตราส่วนนี้ นั่นหมายความว่า ตัวผมต้องใช้ลูกน้ำหนัก ถึง 454 กก. (1,000 ปอนด์) ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมใช้เพียง 227 กก.(500 ปอนด์) เท่านั้น  เมื่อผมลองใช้วิธีใหม่นี้ กล้ามน่องผม ก็โตขึ้นอย่างรวดเร็ว จงจำไว้ว่า กล้ามเนื้อก็คือกล้ามเนื้อ ถ้าคุณต้องการให้มันโต คุณต้องฝึกให้หนัก
arnold22.jpg

       ร่างกายใหญ่โตเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้คุณกลายเป็น นักเพาะกายผู้ยิ่งใหญ่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม คุณก็ต้องก่อกล้ามเนื้อ ให้ใหญ่ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยมาคิดถึงเรื่อง ความสมส่วน การปรับรูปทรง การทำให้เส้นมัดกล้ามชัดเจนขึ้นมา จึงจะเป็นหนทาง ไปสู่มิสเตอร์โอลิมเปีย ซึ่งคนที่ร่างกายใหญ่โตที่สุด ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้ชนะ แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าร่างกายคุณไม่ใหญ่โต คุณก็ไม่ผ่านรอบคัดเลือก ให้เข้าไปแข่งเสียด้วยซ้ำ

       เมื่อเราพูดถึงนักเพาะกาย ที่ก้าวมาจาก ร่างกายที่ปราศจากกล้ามเนื้อ  แล้วประสบความสำเร็จ จนได้เป็น มิสเตอร์โอลิมเปีย คนทั่วไปจะคิดถึง แฟรงค์   เซน  ช่างน่าแปลก ที่คนโครงสร้างเล็กๆอย่างแฟรงค์ ในน้ำหนักเพียง 86 กก. กลับมีพลังอย่างเหลือเฟือ ผมเห็นมากับตา ว่าเขาเล่นน้ำหนักที่หนักมาก บางครั้งเขาใช้น้ำหนัก เท่ากับที่ผมฝึกเลยทีเดียว แม้ว่าน้ำหนักตัวผม จะหนักกว่าแฟรงค์ หลายขุมก็ตาม  ใครที่ไม่เชื่อว่าแฟรงค์ แข็งแรงจริงๆ ลองมาเล่นกล้ามกับเขา สัก 1 วัน แล้วก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร

       ด้วยขนาดโครงสร้างร่างกาย และกระดูกของผม แม้ว่าผมจะไม่ได้เพาะกายเลยก็ตาม ผมก็จะมีน้ำหนักถึง 90 กก.(200 ปอนด์) ถ้าเป็นแฟรงค์ เขาก็จะมีน้ำหนักตัวแค่ 63 กก.(140 ปอนด์) เท่านั้น  ซึ่งตัวผมและแฟรงค์ ต่างก็สร้างกล้ามเนื้อล้วนๆ เพิ่มขึ้นได้ คนละ 20 กก. เท่ากัน เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างแฟรงค์ ซึ่งเล็กกว่าผม แต่กลับสร้างน้ำหนักตัว ได้เท่ากัน นั่นหมายความว่า เขาสร้างกล้ามเนื้อ ได้เหนือผมมาก เมื่อเทียบกันตามอัตราส่วน

       นักเพาะกายหน้าใหม่ ไม่ต้องไปสนใจเทคนิคจุกจิกต่างๆ ที่ได้รับฟังมาให้วุ่นวาย คุณแค่จดจำสิ่งต่อไปนี้ คือ ฝึกให้หนัก ทานให้ฉลาด และทำให้ร่างกายใหญ่ด้วยกล้ามเนื้อ ไม่ใช่ด้วยไขมัน ขอย้ำอีกครั้งว่า คุณจะใหญ่ได้ คุณต้องแข็งแกร่งก่อน   ไม่แปลกอะไรเลย มันเป็นธรรมชาติ เมื่อคุณใช้น้ำหนักมาก และฝึกหนัก ความใหญ่โตและกำยำก็จะก่อเกิด เหมือนกับหลังกลางวัน ก็ต้องเป็นเวลากลางคืนฉะนั้น
arnold23.jpg