logo

ณัฏฐ์ โดย Nutt Krait

วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561

Honda Dax หายากนัก ใช่ไหม มา ดูนี่ๆ

Stallions Dax มอเตอร์ไซค์สุดซ่า เล็กท้าทายทุกสายตา



เข้าเรื่องเลย ในเมื่อ มันแพง นักก้อ หันมา ใช้ของไทย เหอะครับ อิอิ 

รุ่นและราคา Stallions Dax 2014

เฉดสีและราคา Stallions Dax

สีสันภายนอกสุดซ่าของเจ้าจิ๋วสุดเฟี้ยวคันนี้ มีสองสีให้เลือกด้วยกัน สำหรับ เฉดสีภายนอกของ สตาเลียน แด๊กซ์ สีแรกคือสีดำ ดำทั้งคัน พร้อมตัดลายกราฟฟิคสีเหลืองได้อย่างสตรีทเต็มสไตล์ สีที่สองคือสีขาว เพิ่มลูกเล่นบนกราฟฟิคเล็กน้อย ด้วยกราฟฟิคสี ดำแดง ที่เพิ่มความสปอร์ตให้กับบอดี้ได้อย่างลงตัว ในส่วนราคา Stallions Dax ก็ได้วางจำหน่ายในราคา 44,500 บาท เป็นราคาที่สร้างความซาบซ่าให้วงการมอเตอร์ไซค์สุดๆ ใครที่สนใจรถแนวนี้ ก็เตรียมทุบกระปุกมาซื้อกันได้เลยครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
สตาเลียน แด๊กซ์ สีขาว
การออกแบบภายนอกของ สตาเลียน แด๊กซ์ อาจจะไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่มันมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ด้วยความเก๋าสไตล์คลาสสิค ทีดูมีมนขลังสุดๆ โดยมีการใช้ไฟหน้าแบบกลม พร้อมไฟเลี้ยวสีส้มข้างไฟหน้าแบบแยก มาตราวัดความเร็วดีไซน์คลาสสิคแบบอนาล็อก พร้อมแฮนด์บาร์ยกสูงเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ตัวถังเรียบง่ายดีไซน์ปราดเปรียว เบาะนั่งออกแบบมาให้เป็นแบบซิงเกิ้ลขนาดใหญ่ ทำให้สามารถนั่งได้ถึง 2 คน เท่านั้นยังไม่พอ จังมีที่จับมาให้ข้าหลังเบาะอีกด้วย ในส่วนของไฟท้ายก็ดีไซน์เรียบง่าย แต่ส่องประกายแสงได้อย่างชัดเจน การวางเครื่องยนต์ เผยให้เห็นเครื่องยนต์อย่างชัดเจน กับท่อไอเสียดีไซน์เท่ไม่เหมือนใคร สำหรับการออกแบบภายนอก Stallions Dax ถือว่าค่อนข้างแปลกตาเลยทีเดียว มิติภายนอกของเจ้าจิ๋วสองล้อคันนี้ มีความยาว 1,550 มม. กว้าง 620มม. สูง 905 มม. มีความสูงของเบาะต่ำโดนใจที่ 700 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อที่ 1,075มม. มีความสูงใต้ท้องรถที่ 120 มม. พร้อมใช้ยางขนาด 10นิ้วเพิ่มความพริ้วบนท้องถนน สำหรับน้ำหนักโดยรวมนั้นอยู่ที่ 80กิโลกรัมเท่านั้น พร้อมจุน้ำมันได้ 5ลิตรโดยประมาณ
สตาเลียน แด๊กซ์
ขุมกำลังของมอเตอร์ไซค์รุ่นจิ๋วคันนี้
ความแรงของ สตาเลียน แด๊กซ์ ออกแบบมาให้ใช้เครื่องยนต์แบบสี่จังหวะแบบ 1กระบอกสูบ ซิงเกิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ พร้อมมีการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ และมีปริมาตรกระบอกสูบที่ 120 ซีซี เพิ่มความมันส์ด้วยการใช้ระบบคลัทช์แบบคลัทช์เปียกหลายแผ่นซ่อนกัน และส่งพลังความมันส์ไปกับระบบเกียร์วน 4สปีด เท่านั้นยังไม่พอให้คุณเริ่มต้นความสนุกได้ทุกวันกับการสตาร์ทมอเตอร์ไซค์ จิ๋วรุ่นนี้แบบสองสไตล์คือการสตาร์ทมือและสตาร์ทเท้า ชอบแบบไหนก็เลือกสตาร์ทได้ตามชอบ ความสนุกยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เพราะว่าจอมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ใช้การจุดระเบิดแบบซีดีไอ พร้อมส่งพลังเชื้อเพลิงอย่างเร้าใจผ่านคาร์บูเรเตอร์ มิคูนิ ที่ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เปี่ยมประสิทธิภาพไร้การกระตุกอย่างอัจฉริยะ
ความปลอดภัยของ Stallions Dax ใช้ระบบกันสะเทือนหน้าแบบเทเลสกอปิค ผสานการทำงานกับ โช๊คอัพหลังแบบเดี่ยวผสมกับสวิงอาร์ม เติมเต็มการเซฟตี้อีกขั้นด้วยระบบดิสก์เบรคสุดเร้าใจ ในล้อหน้า และใช้ดรัมเบรกในล้อหลัง

วันเสาร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2561

Yamaha Resonator 125cc ข้อมูล พร้อมรูป

หากจะให้พูดถึงรถมอเตอร์ไซค์ในแนว Retro จากทาง Yamaha แล้วนั้นตอนนี้ก็เหมือนจะมีแค่ SR400 ที่ทำตลาดอยู่รุ่นเดียว ส่วนอีกรุ่นอย่าง XSR900 ที่มีพื้นฐานมาจาก MT-09 นั้นจะออกไปอีกแนวที่ดูแล้วไม่มาทาง Retro มากเท่าไหร่ ซึ่ง Yamaha ก็ปล่อยให้ SR400 ทำหน้าที่ของตัวเองไปอย่าเรื่อยๆไม่หวือหวามากมายนัก



ส่วนในต่างประเทศนั้นรถที่ดูว่าหลายๆคนให้ความสนใจก็มี Yamaha Resonator 125 อยู่รุ่นหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยรูปทรงที่ดูโดดเด่น และน่าจะเป็นรถในแนว Retro รุ่นหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ มีบรรดาผู้บริโภคที่ลุ้นให้เข้ามาขายในไทยกันพอสมควร และล่าสุดความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ถูกกล่าวออกมาจาก “มอเตอร์ไซเคิล ทีวีไทยแลนด์” ว่า Yamaha มีโอกาสที่จะนำเอา Resonator พัฒนาและนำมาขายในไทย

 แต่น่าจะมาด้วยเครื่องยนต์ที่มากกว่า 125 ซีซี ซึ่งน่าจะเป็น 150 ซีซี นั้นเรียกได้ว่าชวนให้เตรียมหยอดกระปุกรอกันเลย

เพราะหากว่าเข้ามาขายในไทยจริงๆ คงจะส่งผลกระทบให้กับแบรนด์ไทยอย่าง Stallions และ GPX ที่ยังคงมีส่วนแบ่งทางการตลาดกับรถในแนว Retro ค่อนข้างสูง ให้รู้สึกร้อนๆหนาวๆกันได้บ้าง ก็ต้องรอลุ้นกันว่า Yamaha จะนำมาทำตลาดจริงๆหรือไม่ หากเข้ามาจริงจะมาด้วยเครื่องยนต์ขนาดเท่าไหร่  ทีนี้จะต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา กับงาน Tokyo Motor Show 2015 ทาง Yamaha เองนั้นได้เปิดตัวรถต้นแบบโดยใช้ชื่อว่า Resonator ซึ่งเป็นรถแนวคลาสสิกที่มีขนาดของเครื่องยนต์ที่ 125cc จำนวน 1 สูบ จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีด ระบายความร้อนด้วยอากาศ เครื่องยนต์เป็นแบบ 4 จังหวะ และแน่นอนว่าล้อรถมันจะต้องเป็นแบบซี่ลวด และใช้ไฟหน้าแบบกลม ที่ให้ความรู้สึกคลาสสิกเต็มตัว ทีนี้เราลองไปไล่เรียงดูรายละเอียดในแต่ละจุดกันเลย
 โดยชื่อของ Resonator นั้นมีความเกี่ยวโยงกับดนตรี แปลตรงตัวว่า “เครื่องที่ทำให้เสียงก้อง”


 ฝาครอบถังน้ำมันนั้นทำมาจากไม้ธรรมชาติจริงๆ เลย ซึ่งเป็นไม้เนื้อเดียวกับที่ทำเปียโน หรือกีตาร์โปร่งของทางค่าย Yamaha นั่นเอง

 แม้ว่าจะใช้ไฟกลมแบบแนวคลาสสิกอยู่ แต่ว่าเป็นไฟแบบ LED ตามสมัยนิยมแล้ว
 เหมือนว่าตรงส่วนของหน้าจอแสดงผลนั้น จะมีลักษณะเหมือนกับเชื่อจ่อพวกสมาร์ทโฟน หรือว่าแทบเล็ต เพื่อแสดง MAP GPS และพวกวัดค่าต่างๆ ซึ่งหมายความว่าอาจจะมีการสับเปลี่ยนอุปกรณ์ตรงนี้ได้ด้วย







ช่วยกันลุ้นไปพร้อมๆกันครับ เพราะผมเองก็อยากเห็น Yamaha นำเอาเจ้า Resonator เข้ามาทำตลาดเหมือนกัน และขอราคาไม่แรงด้วยนะรออยู่ครับ

วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

10 สุดยอดรถมอเตอร์ไซค์ยอดเยี่ยมตลอดกาลของ Honda

TOP TEM
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าค่ายปีกนก Honda แบรนด์รถมอเตอร์ไซค์จากประเทศญี่ปุ่นนั้นสามารถสร้างผลงานและชื่อเสียงในระดับสากลได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่เปิดตัวค่ายต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยยอดขายทั่วโลกต่อปีที่รวมกันแล้วไม่ค่ำกว่าหนึ่งพันล้านบาท ตลอดช่วงการทำงานของค่ายรถ Honda ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1946 จนถึงปัจจุบันยังคงทำการพัฒนารถมอเตอร์ไซค์โมเดลใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง
นอกเหนือจากรายได้ของค่าย Honda แล้ว กว่า 70 ปีของค่ายปีกนกเองก็ได้สร้างผลงานที่น่าประทับใจไว้ในประวัติศาสตร์ของวงการรถมอเตอร์ไซค์ไม่น้อยเลยทีเดียว วันนี้เราจะขอพาเพื่อนๆ ชาว GreatBiker ย้อนกลับไปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงรถมอเตอร์ไซค์ 10 คันที่ถือว่าเป็นที่สุดจากค่ายปีกนก Honda


10.Honda NR750

ย้อนหลังกลับไปในปี 1978 หลังจากที่ FIM ผู้คุมกฏของรายการแข่งขันรายการใหญ่ที่สุดของโลกในขณะนั้นอย่าง Grand Prix Motorcycle Racing หรือที่เรารู้จักกันในชื่อปัจจุบัน MotoGP ได้ออกกฎใหม่เกี่ยวกับเครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ที่จะเข้ามาทดแทนเครื่องยนต์ 2 จังหวะที่ใช้ในการแข่งขันในปีต่อไป ทำให้ Honda ค่ายรถมอเตอร์ไซค์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นต้องขอถอนตัวจากการแข่งขัน ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่มีกำลังในการพัฒนาเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่ใช้ต้นทุนในการพัฒนาที่สูงกว่ารถ 2 จังหวะ จนทำให้ Mr.Soichiro Honda ผู้ก่อตั้งค่ายปีกนกเกิดแรงบันดาลใจที่จะพัฒนาเครื่องยนต์รูปแบบใหม่ในรูปแบบของเครื่องยนต์ 4 จังหวะ ภายใต้รหัส NR หรือ “New Racer” ซึ่งในโมเดลเรียกที่ได้ทำการพัฒนามานั้นก็คือ NR500 ที่จะใช้ในการแข่งขัน WGP500 ซึ่งในช่วงแรกมันไม่ประสบผลสำเร็จเอามากๆ มีปัญหาหลายจุดที่ต้องทำการแก้ไขปรับปรุงตลอดเวลา อย่างเช่นในครั้งที่เปิดตัวเจ้า NR500 ในปี 1979 การแข่งขันที่ประเทศอังกฤษ จำนวน 2 ตัวด้วยกัน โดยคันแรกได้ Mick Grant ขับขี่ลงทำการแข่งขันแต่ก็ล่มไม่เป็นท่าตั้งแต่โค้งแรงหลังจากออกสตาร์ทไปได้เพียงไม่กี่เมตร เครื่องยนต์นั้นก็มีปัญหาปล่อยของเหลวออกมาจนล้นไปถึงล้อหลัง จนผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้และล้มไปในโค้งแรกของสนาม ส่วนคันที่สองก็ได้ Katsumi Katayama นักแข่งชาวญี่ปุ่นลงทำการแข่งขัน แต่ก็แข่งได้เพียง 7 รอบสนามก็ต้องออกจากการแข่งเนื่องจากปัญหาของการเผาไหม้ในห้องเครื่อง ซึ่งบาดแผลนี้ก็สร้างความเจ็บช้ำให้กับทีมพัฒนาของ HRC องค์กรอิสระที่ดูแลเรื่องการแข่งขันของค่าย Honda เป็นอย่างมาก แต่ความเจ็บปวดนี้กลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้ทีมงานไม่หยุดยั่งที่จะพัฒนาเครื่องยนต์ 4 จังหวะนี้ จนในที่สุดก็ประสบผลสำเร็จในการแข่งขันในปี 1982 ด้วยการคว้าอันดับที่ 3 ในรายการ WGP500 ด้วยฝีมือของ Freddie Spencer และในปีต่อมาก็สามารถครองแชมป์โลกได้สำเร็จ
กลับมาที่ Honda NR750 รุ่นต่อยอดมาจาก Honda NR500 ผลิตครั้งแรกในปี 1987 ด้วยขุมกำลัง 747.7 ซีซี เครื่องยนต์ V4 90 องศา 4 จังหวะ แบบ DOHC และความพิเศษที่สุดของมันก็คือวาล์วบนกระบอกลูกสูบนั้นมีทั้งสิ้น 8 วาล์วต่อหัว หากเรานับทั้งหมดนั้นเจ้า NR750 คันนี้จะมีทั้งสิ้น 32 วาล์ว และความพิเศษของมันอีกหนึ่งอย่างก็คือ การเป็นของที่ระลึกถึงความพยายามในการพัฒนาเครื่องยนต์เพื่อที่จะเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ และที่สำคัญในปี 1992 มันถูกนำกลับมาทำใหม่อีกครั้งเพื่อเป็นของที่ระลึกแห่งความทรงจำของ Mr.Soichiro Honda ผู้ได้รับตำแหน่งปูชนียบุคคลด้านยานยนต์โลก และผลิตเพียง 200 คันทั่วโลกเท่านั้น


9.Honda Goldwing

มอเตอร์ไซค์แกรนทัวร์ริ่งพี่ใหญ่สุดของค่ายด้วยขุมกำลัง 1832 ซีซี 6 ลูกสูบ 4 จังหวะ 12 วาล์ว แบบ SOHC อัดแน่นไปด้วยสิ่งอำนวยสะดวกในการเดินทางตามรูปแบบของรถมอเตอร์ไซค์แกรนด์ทัวร์ริ่ง และสามารถตอบโจทย์ให้บรรดานักเดินทางสองล้อ ได้มีความสุขในการขับขี่เจ้า Goldwing คันนี้เวลาออกไปท่องเที่ยวได้ทั้งระยะทางจะใกล้หรือไกลเพียงใดก็ตาม


8.CBR 1000XX Super Blackbird


หนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ระดับที่เป็นตำนานของค่าย Honda หลังจากเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1996 ด้วย Keyword ได้ใจความว่า “ความเร็วทะลุ 200 ไมล์ต่อชั่วโมง” ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 1137 ซีซี 4 สูบเรียง 4 จังหวะ 16 วาล์วแบบ DOHC ที่สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สร้างแรงม้าสูงสุดได้ 137.9 HP ที่ 9750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดได้ที่ 109.7 นิวตันเมตรที่ 7500 รอบต่อนาที ทั้งนี้เจ้า Blackbird คันนี้จะถูกยกให้เป็นเจ้าในทางตรงซะมากกว่าความเป็นเจ้าในสนามแข่ง


7.Honda RC213V-s


รถมอเตอร์ไซค์ที่ถอดแบบมาจากรถมอเตอร์ไซค์ที่ใช้ในการแข่งขัน MotoGP ที่ส่งขายแบบจำกัดจำนวนเพียง 213 คันทั่วโลก ด้วยขุมกำลัง V4 999.8 ซีซี 4 ลูกสูบที่ถูกพัฒนาโดยทีม HRC ผู้ดูแลรับผิดชอบเครื่องยนต์ของรถแข่ง MotoGP ให้กับทีม Honda และด้วยความพิเศษของมันนั้นก็ทำให้ราคาค่าตัวของมันสูงเป็นเงาตามตัว ด้วยราคา 8,700,000 บาท


6.Honda RC30 (VFR750R)

คงไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธความยอดเยี่ยมของรถมอเตอร์ไซค์ภายใต้รหัส RC ของ Honda ได้อย่างแน่นอน โดยเจ้า Rc30 นั้นได้ฤกษ์เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1990 ด้วยขุมกำลังเครื่องยนต์ขนาด 748 ซีซี 4 ลูกสูบแบบ V44 จังหวะ 16 วาล์วแบบ DOHC โดดเด่นด้วยสวิงอาร์มแขนเดี่ยวหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า Pro-Arm สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ประมาณ 240 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


5.Honda CBR 900 RR Fireblade


เปิดตัวครั้งแรกในปี 1995 ในฐานรถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์สปอร์ตคลาส 900 ซีซี ด้วยขุมกำลังขนาด 893 ซีซี 4 ลูกสูบแบบ Transverse DOHC ระบบความร้อนด้วยน้ำ พละกำลังสูงสุด 122 HP ที่ 10500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 88 นิวตันเมตร โครสร้าง Aluminum Twin Spar รุ่นบุกเบิก และสามารถสร้างความเร็วสูงสุดได้ถึง 264 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


4.Honda VFR750F


มาถึงรถมอเตอร์ไซค์แนวสปอร์ตที่เน้นรูปแบบในการเดินทางและใช้ในชีวิตประจำวันมากกว่าการขับขี่ในสนามการแข่งขัน ด้วยขุมกำลังขนาด 748 ซีซี 4 สูบ V 90 องศา 4 จังหวะ 16 วาล์ว แบบ DOHC สร้างแรงม้าสูงสุดได้ 105 Hp ที่ 10000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 72.6 นิวตันเมตรที่ 8000 นิวตัน ทำความเร็วสูงสุดได้ 232.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1996


3.Honda CB750


ย้อนหลังกลับไปในปี 1969 ในยุคที่รุ่งเรืองของรถมอเตอร์ไซค์ 2 จังหวะ มีรถเนกเกตจากค่าย Honda อยู่หนึ่งคันที่โดดเด่นออกมากด้วยเครื่องยนต์รูปแบบ 4 จังหวะ 4 ลูกสูบ 8 วาล์ว SOHC ระบายความร้อนด้วยอากาศ ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ 5 สปีด โครงสร้างตัวถัง Tubular Steal Duplex Cradle สร้างแรงม้าสูงสุดได้ 67 Hp ที่ 8000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตันเมตรที่ 7000 รอบต่อนาที และสามารถทำความเร็วได้สูงสุด 198 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมันถือว่าเป็นมอเตอร์ไซค์รุ่นแรกๆ ที่ใช้ระบบเบรกหน้าเป็นระบบดิสก์เบรก บนโลกในขณะนั้น


2.Honda Super Cup


Honda Super Cup เปิดตัวครั้งแรกบนโลกเมื่อปี 1958 ด้วยขนาดเครื่องยนต์ 49 ซีซี 1 ลูกสูบและพัฒนาต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบัน ยังคงมีโมเดลใหม่ๆ ภายใต้รหัส Super Cup ออกมาทุกๆ ปีอย่างต่อเนื่อง สำหรับเจ้ามอเตอร์ไซค์รุ่นเล็กทรงแม่บ้านคันนี้นั้นมีความไม่ธรรมดาอยู่ในตัวสูงมากๆ เพราะด้วยยอดขายทั่วโลกกว่า 60 ล้านคัน เป็นเครื่องการันตีความยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์และประสิทธิภาพการใช้งานที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ได้มากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเจ้า C90 ที่เรียกได้ว่าเป็นที่สุดของรถในรหัส Super Cup เลยก็ว่าได้ ถึงมันจะไม่ใหญ่โต ไม่รวดเร็ว แต่มันก็ไม่ซ้ำซ้อน และการบำรุงรักษามันนั้นแสนจะง่ายดาย


1 Honda CBR600F


ในช่วงปลายยุค 80 ท่ามกลางการต่อสู้ในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ระดับ ซุปเปอร์ไบค์ ในตอนนั้นรถจากฝั่งยุโรปดูจะโดดเด่นที่สุด ทั้งในเรื่องของสมรรถนะ ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ และความน่าเชื่อถือในตัวแบรนด์ที่มีต่อกลุ่มผู้บริโภค Honda เป็นหนึ่งในแบรนด์ญี่ปุ่นที่สามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดยุโรปได้อย่างไม่หวั่นเกรงคู่แข่งเจ้าถิ่น และยังออกโมเดลใหม่ที่เหมือนสร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการมอเตอร์ไซค์ ในปี 1987 Honda ได้ให้กำเนิดรถมอเตอร์ไซค์ Super Sport พิกัด 600 ซีซี คลาสใหม่กลางตลาดรถในระดับ 800 -1000 ซีซี ด้วยราคาที่ถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง

Honda CB600F เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1987 ด้วยขุมกำลังขนาด 598 ซีซี 4 จังหวะ 4 ลูกสูบ 16 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ อัตราส่วนกำลังอัด 11.0 : 1 สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ให้พละกำลังสูงสุด 85 Hp ที่ 9500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 59 นิวตันเมตรที่ 8500 รอบต่อนาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีชื่อเล่นว่า Hurricane ซึ่งแน่นอนว่าความยอดนิยมของมันนั้นพุ่งสูงมากในตลาดรถมอเตอร์ไซค์ในยุโรป เฉพาะในอังกฤษประเทศเดียวมีเจ้า CBR600F ถูกจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายกว่า 3000 คัน ด้วยกระแสการตอบรับที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อนี้ทำให้เจ้า CB600F Hurricane คันนี้ถูกพัฒนาต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ ปี 1991-1994 ในรุ่น CB600F2 ในปี 1995-1999 ในรุ่น CBR600F3 ปี 1999 -2000 ในรุ่น CBR600F4 และพัฒนาต่อมาถึงปี 2001-2006 ด้วยการปรับระบบจ่ายน้ำมันเป็นระบบหัวฉีดในรุ่น CB600F4 และกลับมาผงาดอีกครั้งในปี 2011-2013 ที่กลับมายึดถือคอนเซ็ปต์เบื้องต้นจากตัวต้นแบบในรุ่น CBR600F และต่อยอดความสำเร็จอีกครั้งด้วยการพัฒนาจนก้าวข้ามสิ่งเดิมไปสู่สิ่งใหม่ด้วย CBR650F ตั้งแต่ปี 2014 มาจนถึงปัจจุบัน


2017 Honda CBR650F
นี้คือทั้งหมดของรถมอเตอร์ไซค์จากค่าย Honda ที่พวกเราคิดว่ามันคือสุดยอดของนวัตกรรมที่ค่ายปีกนกได้สร้างสรรไว้ให้กับวงการรถมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนมาถึงปัจจุบัน เพื่อนๆ ท่านใดมีรถของ Honda คันใดที่อย่ในใจ ก็สามารถมาแชร์ประสบการณ์กันได้ในคอมเม้น นะครับ ฝากกด Like กด shere บทความ ดีๆให้คนอื่นได้ อ่านด้วยนะครับ