logo

ณัฏฐ์ โดย Nutt Krait

วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ประวัติ+ปีผลิต รองเท้า Air Jordan 1985-2014


air_jordan_1_29__by_cedierich-d8e1dg5
หากจะพูดถึงแบรนด์ sneaker ที่ทรงอิทธิพลสักแบรนด์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการรองเท้ากีฬาบาสเกตบอลแล้วล่ะก็ แน่นอนว่าคงหนีไม่พ้น Jordan Brand ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Nike อย่างแน่นอน ยืนยันได้จากยอดขายรองเท้า Air Jordan หลายร้อยถึงหลายพันล้านเหรียญในแต่ละปีตั้งแต่เริ่มผลิตรุ่นแรกออกมา และยังขายดีจนแซงหน้ารองเท้าจาก Nike เองด้วยซ้ำไป
กระแสความนิยมของ Air Jordan นั้นเกินระดับคำว่า “คลั่งไคล้” ไปแล้ว เพราะเป็นรองเท้าที่มักจะขายหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็วเหลือเชื่อ และขายต่อกันในราคาที่สูงกว่าราคา retail หลายเท่าตัว แทรกซึมอยูในวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนและ street culture ทุกอณู มีแฟนคลับทั่วโลก จนหลายครั้งก่อให้เกิดการแย่งชิง การทะเลาะวิวาท การทำร้ายร่างกาย การก่อจลาจล ไปจนถึงฆาตกรรม ต้นเหตุเพียงเพราะรองเท้าแค่คู่เดียว

ทั้งหมดนี้มาจากนักบาสเกตบอลผู้เป็นสุดยอดแรงบันดาลใจและตำนานแห่ง NBA ชื่อว่า Michael Jordan ที่ภายหลังผันตัวมาเป็นเจ้าของและดูแล Jordan Brand ด้วยตนเอง
michael_jordan

MJ เผยว่า เดิมทีเขาเป็นแฟนรองเท้า Adidas ตัวยง และสมัยเรียนที่ North Carolina โค้ชก็ให้เขาใส่แต่ Converse ลงแข่งบาสฯ ทว่า ด้วยฝีมือที่โดดเด่นเกินวัย จึงเกิดการช่วงชิงตัวพรีเซนเตอร์รองเท้า signature รุ่นใหม่กันระหว่าง Adidas, Converse, และ Nike ตอนที่เจ้าตัวกำลังจะก้าวสู่ NBA แม้ว่า MJ จะชื่นชอบ Adidas มาก แต่ฝ่ายหลังยื่นข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจกว่า ทั้งยังมีแผนการตลาดที่ดีกว่า MJ จึงตัดสินใจเลือก Nike ในที่สุด หลังจากนั้นสายการผลิตรองเท้า Air Jordan ที่ sneakerhead ทั่วโลกต่างใฝ่ฝันจะครอบครองก็เริ่มขึ้น
  1. Air Jordan  I
    • ปีที่วางจำหน่าย 1985
    • ราคา $65
    • ออกแบบโดย Peter Moore
    • สียอดฮิต Black/Red(Bred), Black/Royal(Royal Blue), Black Toe, Chicago
ตำนานของ Air Jordan เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Nike ได้เซ็นสัญญาสปอนเซอร์กับนักบาสเกตบอลหน้าใหม่ของ NBA ในตอนนั้นอย่าง Michael Jordan และออกแบบ Air Jordan I สีดำ/แดงขึ้นมาให้เขาใส่ลงแข่งในปี 1984 ซึ่งเป็นโทนสีที่เข้ากับสียูนิฟอร์มของ Chicago Bulls พอดี แต่ MJ เองไม่ค่อยชอบนักเพราะมันเป็นสีที่ “ดูเหมือนรองเท้าปีศาจ” ทั้งนี้ คณะกรรมการ NBA ยังสั่งแบนรองเท้าสีนี้เนื่องจากเป็นโทนสีที่ขัดต่อกฎการแต่งกายที่ต้องเป็นสีที่เข้ากับชุดและเข้ากับเพื่อนร่วมทีม(มีข้อมูลบางส่วนอ้างว่ารองเท้ารุ่นที่ NBA เห็นและสั่งแบนจริงๆ คือ Nike Air Ship สีเดียวกัน) และปรับ MJ เป็นเงิน 5,000 ดอลลาร์ทุกครั้งที่ใส่มันลงสนาม ซึ่ง Nike ก็ยินดีจ่ายและใช้โอกาสนี้ในการโปรโมทรองเท้ารุ่นดังกล่าวไปในตัว โดยมีนัยยะว่าผู้ที่ได้สวมใส่มันคือผู้ที่ไม่ยอมรับการแบนของ NBA อยู่กลายๆ (ต่อมาภายหลังมีการออกรุ่นพิเศษ Banned Air Jordan I ออกมาเพื่อเป็นที่ระลึกและประชดโดยเฉพาะอีกด้วย)
เมื่อ Air Jordan I วางจำหน่ายในปีต่อมาจึงประสบความสำเร็จด้านยอดขายอย่างงดงาม
หลังจากนั้น Nike จึงออกแบบสี “Black Toe” และ “Chicago” ที่มีสีขาวมาร่วมผสมเข้าไปกับสีแดงและสีดำให้ MJ ใส่ลงสนามช่วงปี 1985-1986 ฟอร์มการเล่นของ MJ อันยอดเยี่ยมตอนที่ใส่รองเท้ารุ่นนี้ก็ยิ่งทำให้มันเป็นที่ต้องการมากขึ้น ทั้งตอนลงแข่งดังค์ครั้งแรกใน Slam Dunk Contest ปี 1985 และทำผลงานการดังค์ได้อย่างงดงาม(แถมยังใส่ทอง 2 เส้น อีกด้วย)แม้ว่าจะพลาดแชมป์รายการนี้ไปก็ตาม ในปีเดียวกัน MJ ได้รางวัล Rookie of The Year และตอนทำ 63 แต้มในการแข่ง playoff กับ Boston Celtics ที่ทำให้ Larry Bird ถึงกับขนานนาม MJ ว่าเป็น “พระเจ้าที่สวมใส่รองเท้าบาสฯ” เลยทีเดียว
  1. Air Jordan II
    • ปีที่วางจำหน่าย 1986
    • ราคา $100
    • ออกแบบโดย Bruce Kilgore และ Peter Moore
    • สียอดฮิต White/Black-Red, Carmelo Anthony PE
หลังจากประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่นแรก โดยทีมออกแบบตัดสินใจยอมเสี่ยงไม่ใส่ Swoosh ลงไปในดีไซน์ของ Air Jordan II ด้วย นอกจากนี้มันยังเป็น Air Jordan รุ่นเดียวที่ผลิตในอิตาลี ด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรองเท้าบูทผู้หญิง ทำให้มันดูหรูหรามากขึ้นและเหมาะสำหรับใส่ในชีวิตประจำวัน แม้ว่าจะเป็นรองเท้ารุ่นที่ MJ ใส่ตอนคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest สมัยแรกในปี 1987 แต่เป็นรุ่นที่ MJ แทบไม่ได้ใส่แข่งเนื่องจากต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ รุ่นนี้จึงไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร
  1. Air Jordan III
    • ปีที่วางจำหน่าย 1988
    • ราคา $100
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/Cement, Black/Cement, Fire Red, True Blue
หลังจากที่ Peter Moore และ Rob Strausser ผู้ผลักดันแบรนด์ Air Jordan ออกจาก Nike ไป MJ ก็เกือบจะตามไปด้วยหลังจากหมดสัญญา แต่การออกแบบของ Tinker Hatfield ก็ทำให้ MJ เปลี่ยนใจและต่อสัญญากับ Nike ด้วยดีไซน์รองเท้าที่มีโลโก้ Jumpman แทนโลโก้ Air Jordan เดิมที่ใช้ในรุ่น Air Jordan I และ II ประดับด้วยลวดลายหนังช้าง และมองเห็น Air Unit อย่างชัดเจน เมื่อบวกกับฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงหลังจากหายบาดเจ็บกลับมาของ MJ ทำให้ในฤดูกาล 1987-1988 เขาได้รับรางวัล NBA MVP (NBA Most Valuable Player Award หรือ “รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า” ที่มอบให้กับผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มการเล่นดีที่สุดประจำฤดูกาล) และลีลาการดังค์จากเส้นจุดโทษอันน่าตื่นตาก่อนจะคว้าแชมป์ Slam Dunk Contest สมัยที่สอง รวมทั้งโฆษณาที่กำกับโดย Spike Lee กระแสรองเท้ารุ่นนี้จึงแรงแบบฉุดไม่อยู่และถือว่าเป็น Air Jordan รุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะสี Black/Cement
  1. Air Jordan IV
    • ปีที่วางจำหน่าย 1989
    • ราคา $100
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/Cement, Black/Cement, Military Blue, Fire Red, Lightning, Thunder, UNDFTD
Tinker Hatfield รับหน้าที่ออกแบบอีกครั้ง คราวนี้ใช้ดีไซน์ที่คงความเรียบไว้แต่แข็งแรง ดุดัน จนได้ชื่อว่าเป็น Air Jordan ที่แข็งแรงทนทานที่สุด และยังเป็นรองเท้าคู่ที่ MJ ใส่ตอนที่สร้างตำนาน “The Shot”  ด้วยการทำแต้มสุดท้ายเฉือนชนะ Cleveland Cavaliers 101-100 ในการแข่ง playoff ทั้งที่เหลือเวลาเพียง 2 วินาทีอีกด้วย
นอกจากนี้ในภาพยนตร์เรื่อง Do The Right Thing ของ Spike Lee ก็มีฉากเด่นที่ตัวละครใส่รองเท้า Air Jordan IV แล้วโดนเหยียบจนเลอะก็ทำให้รองเท้ารุ่นนี้อยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
  1. Air Jordan V
    • ปีที่วางจำหน่าย 1990
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/Fire Red-Black, White/Black-Fire Red, Black/Metallic Silver, Grape, Laney, Raging Bull Pack
ดีไซเนอร์คนเก่ง Tinker Hatfield ออกแบบรองเท้ารุ่นนี้ด้วยแนวคิดที่ต้องการอะไรที่ต่างไปจากเดิม เขาได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบ P-51 Mustang ของอเมริกาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาออกแบบในส่วนของฟันตรง midsole ซึ่ง Tinker บอกว่ามันตรงกับสไตล์การเล่นของ MJ ที่สามารถโจมตีคู่แข่งได้ในเวลาสำคัญอยู่เสมอ ส่วนที่โดดเด่นอีกอย่างของรุ่นนี้คือลิ้น (tongue) ที่ทำด้วยวัสดุสะท้อนแสงของ 3M และพื้น outsole ทำด้วยยางใสที่ไม่เห็นกันบ่อยนัก ส่วนฟอร์มการเล่นของ MJ ตอนที่ใส่ Air Jordan V ก็ยอดเยี่ยมเช่นเคยด้วยการทำสถิติสูงสุด 69 แต้ม ในเกมที่เอาชนะ Cleveland Cavaliers ไปได้อย่างน่าทึ่ง
  1. Air Jordan VI
    • ปีที่วางจำหน่าย 1990
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/Infrared, Black/Infrared, Carmine, Olympic, Defining Moments
รองเท้ารุ่นนี้ นอกจากจะเป็นการรวมเอาสไตล์การออกแบบ Air Jordan รุ่นที่ผ่านมาของ Tinker Hatfield แล้ว ส่วนของ heel tab นั้นยังได้ไอเดียมาจากดีไซน์รถ Porsche ของ MJ เอง และมีรู 2 รูตรง tongue ที่ช่วยให้สวมใส่ง่ายขึ้นและดูโดดเด่นมากจนเป็นแนวทางที่นิยมใช้กันในรองเท้ารุ่นอื่นๆ ที่ออกมาภายหลังอีกมากมาย
หลังจบการแข่งขัน NBA Finals นัดที่ 2 กับ LA Lakers แม้ MJ จะได้รับบาดเจ็บที่นิ้วเท้า แต่เมื่อสต๊าฟถามว่าจะให้เปลี่ยนเป็นรองเท้าที่ช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บได้มากกว่านี้ไหม MJ กลับตอบว่า “Give me the pain.” และใส่ Air Jordan VI ต่อไปจนจบ
  1. Air Jordan VII
    • ปีที่วางจำหน่าย 1991
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต Hare, Bordeaux, Black/True Red, Cardinal, Olympic
นับเป็นอีกรุ่นที่ออกแบบได้แตกต่างจากที่แล้วมาโดยไม่มีทั้ง Air Unit และ outsole ใสอีกต่อไป เพราะ Tinker Hatfield ได้ศึกษาศิลปะของชนเผ่าในแอฟริกาตะวันตกรวมถึงดนตรี pop ร่วมสมัยของชาวแอฟริกัน เมื่อรวมกับเทคโนโลยี Huarache ที่ออกแบบโดย Tinker และใช้ใน Nike Air Huarache แล้ว Air Jordan VII จึงมีความเฉพาะตัวและใส่สบายมาก
นอกจากนี้ MJ ยังใส่รองเท้าคู่นี้ในการแข่งขันโอลิมปิกปี 1992 ที่บาร์เซโลนาร่วมกับเพื่อนร่วมทีมอเมริกาชุด Dream Team ก่อนจะคว้าเหรียญทองกลับบ้านอีกด้วย
  1. Air Jordan VIII
    • ปีที่วางจำหน่าย 1993
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/Black-True Red, Aqua, Black/True Red
ความโดดเด่นของ Air Jordan รุ่นนี้คือ มีสายรัดข้อเท้า velcro เพื่อการ support ข้อเท้าและมีพื้น outsole อันยึดเกาะได้ดีเยี่ยม ด้วยหลักการออกแบบที่พัฒนาต่อจาก Air Jordan VII แต่เน้นการปกป้องเท้าแทนที่จะเน้นความเบาสบาย และยังเป็นคู่ที่ MJ ใส่ในการลงแข่งจนได้ NBA Finals MVP เป็นสมัยที่สามติดต่อกันด้วยแต้มเฉลี่ยในรอบ Finals ที่ 44 แต้มต่อเกมอีกด้วย
  1. Air Jordan IX
    • ปีที่วางจำหน่าย 1993
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/Black-True Red, Powder Blue, Charcoal, Cool Grey, Motorboat Jones
ไลน์รองเท้า Air Jordan เกือบจะยุติลงเมื่อ MJ ตัดสินใจเลิกเล่นบาสฯ และหันไปลงแข่งเบสบอลแทน แต่ Tinker Hatfield ยังคงดึงดันที่จะทำ  Air Jordan ต่อไป และเชื่อมั่นว่า MJ จะกลับมา เขาจึงดีไซน์รองเท้ารุ่นนี้ต่อและได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าเบสบอลที่ MJ สวมใส่ตอนลงสนาม จุดเด่นของรุ่นนี้คือ outsole ที่พิมพ์ลายตัวอักษรจากหลายภาษาเอาไว้
รองเท้ารุ่นนี้จึงนับว่าเป็นรุ่นแรกที่ MJ ไม่ได้ใส่ลงแข่ง NBA อย่างไรก็ตาม เขาเคยนำรุ่น Air Jordan IX Retro Cool Grey มาใส่ในชุดยูนิฟอร์มของทีม Wizards เมื่อช่วง pre-season ปี 2002 ก่อนที่รุ่น retro นี้จะวางจำหน่ายพอดี
  1. Air Jordan X
    • ปีที่วางจำหน่าย 1994
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต Chicago, UNC, Steel Grey, Shadow Black
Air Jordan X ได้รับการออกแบบในช่วงที่ MJ ยังเล่นเบสบอลอยู่ จึงไม่มีการขอความเห็นจากเขาเหมือนเช่นทุกที เมื่อ Tinker Hatfield นำดีไซน์ของรองเท้ารุ่นนี้ไปให้ MJ ดูเป็นครั้งแรก เขาจึงไม่ชอบมัน และสั่งให้แก้ทันที ก่อนที่ Tinker จะนำไปปรับเปลี่ยนจนสมบูรณ์ ความพิเศษของ Air Jordan X คือการร้อยเชือกแบบรองเท้า ghillies (รองเท้าเต้นคล้ายรองเท้าบัลเลต์) และการพิมพ์เกียรติประวัติที่ MJ ได้รับตั้งแต่สมัย rookie จนถึงปี 1994 ลงบน outsole (ซึ่งส่งผลให้การยึดเกาะแย่ลงมาก) และเมื่อ MJ ตัดสินใจกลับสู่ NBA อีกครั้งพร้อมประโยคสุดคลาสสิค “I’m back.” และใส่มันลงสนาม ตำนานบทใหม่ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
  1. Air Jordan XI
    • ปีที่วางจำหน่าย 1995
    • ราคา $125
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต Concord, Playoff, Columbia, Space Jam, Cool Grey, Bred
ดีไซน์ของมันในส่วนของแผ่นหนังที่ครอบและปกป้องส่วนล่างของรองเท้าไว้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องตัดหญ้า และด้วยลุคที่ดูเรียบและหรูหราของมันนั้นสามารถใส่ไปงานพิธีการได้สบายๆ (วง Boyz II Men ก็เคยทำมาแล้วในงาน Grammy Awards 1996) MJ ชอบรองเท้ารุ่นนี้มากจนถึงขนาดใส่คู่นี้ลงแข่งตั้งแต่ตอนเป็นแค่ sample ซ้ำยังเอาไปอวดในรายการทีวีและใส่เล่นภาพยนตร์เรื่อง Space Jam ด้วย เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่ได้รับการกล่าวถึงในสื่อต่างๆ มากที่สุดในยุคนั้นและเป็น Air Jordan รุ่นยอดนิยมรุ่นหนึ่ง
  1. Air Jordan XII
    • ปีที่วางจำหน่าย 1996
    • ราคา $135
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต Taxi, Obsidian, White/Varsity Red, Playoffs, Black/Varsity Red (Flu Game)
รองเท้ารุ่นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น Air Jordan รุ่นที่ทนทานที่สุด ทั้งยังมี Zoom Air แบบ full-lenght อีกด้วย ดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากรองเท้าบูทผู้หญิงและลายธงชาติ Rising Sun ของญี่ปุ่น ก็สวยงาม โดยสี Black/Red มีความพิเศษตรงที่เป็นสีที่ MJ ใส่ในเหตุการณ์ “Flu Game” ซึ่งเป็นแม็ตช์สำคัญที่ต้องลงแข่งรอบ Finals กับ Utah Jazz ในปี 1997 ทั้งที่ยังไม่ทันหายจากไข้หวัดดี แต่ก็ยังโชว์ฟอร์มได้น่าประทับใจและพาทีมชนะในที่สุด ซึ่งหลังจากนั้นในปี 2009 มีการออก reproduct และมีการพิมพ์ตัวเลข 97 ซึ่งเป็นปีที่แข่ง และ 38 ซึ่งเป็นแต้มที่ MJ ทำได้ พร้อมรูปการ์ตูนล้อเลียนใบหน้าเหยเกจากอาการป่วยของ MJ
นอกจากนี้เพื่อนร่วมทีมของ MJ หลายๆ คน เช่น Scottie Pippen, Bill Wennington, และ Luc Longley ก็ชอบรองเท้ารุ่นนี้มาก และใส่มันลงแข่งในฤดูกาล 1996-1997 ด้วย
  1. Air Jordan XIII
    • ปีที่วางจำหน่าย 1997
    • ราคา $150
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต White/True Red-Black, Playoff, Flint, White/Black-True Red, Black/True Red, Ray Allen PE
รองเท้ารุ่นนี้วางจำหน่ายภายใต้ชื่อ Jordan Brand เป็นครั้งแรก ดีไซน์ของมันได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและคล่องแคล่วดุจดั่งเสือดำของ MJ และนำเสนอด้วยรูปทรงที่ดูปราดเปรียว พร้อม hologram ที่ดูเหมือนตาเสือและพื้น outsole รูปร่างอุ้งตีนเสือ ทั้งยังมีประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมด้วยน้ำหนักเบาและตอบสนองการเคลื่อนไหวได้ดี และฟอร์มการเล่นของ MJ ก็ร้อนแรงเช่นเคยด้วยการพา Chicago Bulls คว้าแชมป์ NBA สามสมัยซ้อน
  1. Air Jordan XIV
    • ปีที่วางจำหน่าย 1998
    • ราคา $150
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield/Mark Smith
    • สียอดฮิต White/Black-Varsity Red, Playoffs, White/Varsity Red, White/Columbia Blue
รถยนต์ Ferrari 550M ของ MJ คือที่มาของแรงบันดาลใจในการออกแบบรองเท้ารุ่นนี้ เมื่อบวกกับปลายเชือกโลหะทำให้มันดูโฉบเฉี่ยวและไฮเทค ทั้งนี้ยังมีโลโก้ Jumpman บนรองเท้ามากถึงข้างละ 7 อัน รวม 2 ข้างก็เป็น 14 อันเท่ากับชื่อรุ่นพอดี โดย MJ ใส่รองเท้ารุ่นนี้ในการแข่ง NBA Finals ในชุด Chicago Bulls เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์และเป็นที่จดจำในชื่อเล่นว่า “The Last Shot
  1. Air Jordan XV
    • ปีที่วางจำหน่าย 1999
    • ราคา $150
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต Black/Varsity Red, White/Red, White/Columbia Blue
รองเท้ารุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเครื่องบิน X-15 ที่ร่วมผลิตโดย NASA และกองทัพอากาศ ด้วยดีไซน์ที่มาก่อนกาลของรองเท้ารุ่นนี้ทำให้มันไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่นักตอนที่วางจำหน่าย และด้วยเหตุที่ MJ ไม่ได้ลงแข่งในช่วงนี้ แม้ว่าจะใช้ผู้เล่นชื่อดังอย่าง Reggie Miller กับ Ray Allen ใส่เพื่อโปรโมท ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และถือเป็น Air Jordan รุ่นสุดท้ายที่ Tinker Hatfield อยู่ในตำแหน่งหัวหน้าทีมออกแบบ
  1. Air Jordan XVI
    • ปีที่วางจำหน่าย 2001
    • ราคา $160
    • ออกแบบโดย Wilson Smith
    • สียอดฮิต Black/Varsity Red, White/Royal, Ginger
เปิดฉากคริสต์ศตวรรษใหม่ด้วยดีไซน์ที่ไม่ได้มาจาก Tinker Hatfield เป็นครั้งแรกตั้งแต่รุ่น Air Jordan II ซึ่งโดดเด่นเป็นสง่าด้วยแผ่นหนังคลุมตรง upper ที่สามารถแกะออกได้เพื่อให้เหมาะกับการใส่ทั้งในและนอกสนาม พร้อมทั้งเป็นรุ่นแรกที่มีแผง Visible Air
  1. Air Jordan XVII
    • ปีที่วางจำหน่าย 2002
    • ราคา $200
    • ออกแบบโดย Wilson Smith
    • สียอดฮิต White/College Blue, White/Varsity Red, White/Lightning-Black
เป็น Air Jordan อีกรุ่นที่ดีไซน์หรูหราและได้รับแรงบันดาลใจจากรถยนต์ ซึ่งคราวนี้เป็น Aston Martin แถมยังมาในแพ็กเกจกระเป๋าเอกสารโลหะ พร้อมซีดีรอมอีกต่างหาก จึงไม่แปลกที่ราคาของรองเท้าคู่นี้จะถีบตัวสูงขึ้นไปถึง 200 เหรียญฯ แม้ว่า MJ จะใส่รองเท้าคู่นี้กลับมาลงสนามอีกครั้งในชุดของ Washington Wizards แต่ก็ไม่มีสถิติอะไรน่าจดจำนัก
  1. Air Jordan XVIII
    • ปีที่วางจำหน่าย 2003
    • ราคา $175
    • ออกแบบโดย Tate Kuerbis
    • สียอดฮิต Black/Sport Royal, White/Varsity Red
ดีไซน์ของ Air Jordan XVIII นั้นได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้า high fashion ของผู้หญิง จึงดูเรียบหรูมาก เท่านั้นไม่พอ ยังแถมแปรงและผ้ามาให้ทำความสะอาดรองเท้าด้วย นอกจากนี้ยังมีรุ่น low-cut สำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวมากขึ้น แม้ว่า MJ จะใส่รองเท้ารุ่นนี้และคืนฟอร์มเก่งได้ในปีนี้ แต่ก็ไม่สามารถพา Wizards คว้าแชมป์ได้ และตัดสินใจเลิกเล่นบาสเก็ตบอลเป็นการถาวร
  1. Air Jordan XIX
แนวคิดการออกแบบ Air Jordan XIX คือการทำรองเท้าที่ไม่ต้องใช้เชือกผูก รองเท้ารุ่นนี้จึงใช้สายรัดแทน โดดเด่นด้วยแผง mesh ตรง upper และนับเป็นอีกคู่ที่ MJ ไม่ได้ใส่ลงแข่ง
  1. Air Jordan XX
    • ปีที่วางจำหน่าย 2005
    • ราคา $175
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield, Mark Smith
    • สียอดฮิต Black/Stealth-Varsity Red, White/Varsity Red-Black
Air Jordan XX วางจำหน่ายในโอกาสครบรอบ 20 ปีของไลน์ Air Jordan พอดี รองเท้ารุ่นนี้ผนวกรวมเทคโนโลยีที่เหมาะกับการลงแข่งอย่างจริงจังและดีไซน์ล้ำหน้าเอาไว้ โดยในครั้งนี้ Tinker Hatfield กลับมาดูแลการออกแบบให้อีกครั้ง ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรองเท้านักปั่นจักรยานและยางมอเตอร์ไซค์ โดดเด่นด้วยสายคาดตรงข้อเท้าและเทคนิคการสลักเลเซอร์เป็นไอคอนที่สายคาดขนาดใหญ่ด้านหน้า สื่อถึงเรื่องราว 20 ปีที่ผ่านมาของ MJ
  1. Air Jordan XXI
    • ปีที่วางจำหน่าย 2006
    • ราคา $175
    • ออกแบบโดย D’Wayne Edwards
    • สียอดฮิต Varsity Red/Metallic Silver-Black
รูปลักษณ์อันเรียบหรูของ Air Jordan XXI ได้แรงบันดาลใจมาจากรถแข่ง touring car โดดเด่นด้วยการใช้วัสดุหนังกลับชั้นดีจากอีตาลี และรุ่นนี้มีความลับซ่อนอยู่ตรงที่หากนำมันไปส่อง backlight จะเห็นรหัสลับที่ซ่อนไว้ แต่เราจะไม่บอกว่ามันคืออะไรเพราะอยากให้คุณไปส่องหรือค้นใน google เอาเอง
  1. Air Jordan XX2
    • ปีที่วางจำหน่าย 2007
    • ราคา $175
    • ออกแบบโดย D’Wayne Edwards
    • สียอดฮิต Black/Varsity Red-Metallic Silver
ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากเครื่องบินเจ็ท F-22 Raptor ซึ่งมีคุณสมบัติที่รวดเร็ว คล่องแคล่ว เหมือนสไตล์การเล่นของ MJ รวมถึงเทคโนโลยี Zoom Air 2 ชั้น น้ำหนักเบาขึ้นจากรุ่นที่แล้ว วัสดุสุดล้ำตรง shank plate, lace loop, และ lace lock ทำด้วย titanium โครงสร้างที่ support ข้อเท้า และพื้น outsole ที่ยึดเกาะดีเยี่ยม ทำให้มันเป็น Air Jordan รุ่นที่มีประสิทธิภาพเยี่ยมมากรุ่นหนึ่ง
  1. Air Jordan XX3
    • ปีที่วางจำหน่าย 2008
    • ราคา $185
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield, Mark Smith
    • สียอดฮิต White/Titanium/University Blue, White/Black-Varsity Red, Black/Varsity Red
อีกครั้งที่ Tinker Hatfield มีส่วนในการออกแบบรองเท้า Air Jordan โดยคราวนี้สร้างเอกลักษณ์ของมันขึ้นมาด้วยการถักลาย DNA ของ MJ ลงไปตรง upper ลายนิ้วหัวแม่มือของ MJ ที่ด้านหลัง tongue ลายเซ็นของ MJ ที่ toe cap และลายเท้าของ MJ ที่ outsole นอกจากนี้ยังเป็นรองเท้าบาสเกตบอลรุ่นแรกที่ใช้เทคนิคการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามคอนเซ็ปต์ Nike Considered อีกด้วย
  1. Air Jordan 2009
    • ปีที่วางจำหน่าย 2009
    • ราคา $190
    • ออกแบบโดย Jason Mayden
    • สียอดฮิต White/Red
แม้จะลือกันว่า Air Jordan XX3 คงเป็นรุ่นสุดท้าย แต่ Jordan Brand ก็คลอด Air Jordan 2009 ตามมาอีกจนได้โดยที่ฉีกขนบการตั้งชื่อรุ่นแบบเดิมตามลำดับเลขโรมัน แต่เป็นปี ค.ศ. แทน โดยไม่ลืมที่จะนำเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Articulated Propulsion Technology (APT) ที่ช่วยเรื่องการ support ส้นเท้าและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วขึ้นมาใช้อีกด้วย
  1. Air Jordan 2010
    • ปีที่วางจำหน่าย 2010
    • ราคา $170
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield, Mark Smith
    • สียอดฮิต White/Black-Red, White/Red-Black
อีกครั้งที่ Jordan Brand เรียกดีไซเนอร์คู่บุญมาดูแลการออกแบบ เอกลักษณ์ของรองเท้ารุ่นนี้คือ “หน้าต่าง” ที่ทำจาก thermoplastic urethane ใส สื่อถึงการอ่านเกมที่ทะลุปรุโปร่งของ MJ สมัยยังลงเล่น แม้ว่าจะมีหลายเสียงวิจารณ์ถึงรูปลักษณ์แปลกตาของเจ้าหน้าต่างนี้ แต่เมื่อมีรีวิวพูดถึงประสิทธิภาพของรองเท้ารุ่นนี้ เสียงตอบรับโดยรวมก็ดีขึ้นในที่สุด
  1. Air Jordan 2011
    • ปีที่วางจำหน่าย 2011
    • ราคา $175
    • ออกแบบโดย Tom Luedecke
    • สียอดฮิต White/Red, White/Black, Black/Black, Year of the Rabbit
เอกลักษณ์ของรองเท้ารุ่นนี้คือ midsole ที่เปลี่ยนได้ 2 แบบตามสไตล์การเล่นที่ชอบระหว่างสีแดง “Be Explosive” และสีน้ำเงิน “Be Quick”
  1. Air Jordan 2012
    • ปีที่วางจำหน่าย 2012
    • ราคา $230
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield, Tom Luedecke
    • สียอดฮิต Wolf Grey
คอนเซ็ปต์ที่ต้องการเน้นประสิทธิภาพมากกว่ารูปลักษณ์ แม้จะมีหน้าตาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรองเท้าหนังที่ใส่กับชุด zoot suit ยุค 1940s แต่ด้วยตัวเลือก midsole และ inner sleeve ที่ถอดเปลี่ยนได้หลายแบบ ทำให้ Air Jordan 2012 ได้รับการยอมรับในด้านประสิทธิภาพอย่างที่คาดไว้
  1. Air Jordan XX8
    • ปีที่วางจำหน่าย 2013
    • ราคา $250
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield, Josh Heard
    • สียอดฮิต Electric Green, Carbon Fiber, Why Not
ในที่สุด Jordan Brand ก็กลับมาอย่างสง่างามด้วยรองเท้ารุ่นที่นับตามเลขโรมันอีกครั้ง โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์สุดโมเดิร์นที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรองเท้าทหารที่สามารถรูดซิปปรับได้ตามสไตล์ที่ชอบ และประสิทธิภาพทั้งการ support เท้าผสมผสานระหว่าง Zoom Air กับ Jordan Flight Plate และการระบายอากาศที่ได้รับการยอมรับว่ายอดเยี่ยม โดยในครั้งนี้ได้เซ็นสัญญากับ Russel Westbrook มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนใหม่
  1. Air Jordan XX9
    • ปีที่วางจำหน่าย 2014
    • ราคา $250
    • ออกแบบโดย Tinker Hatfield
    • สียอดฮิต ?
รองเท้ารุ่นล่าสุดจาก Jordan Brand ที่ผสมผสานคุณสมบัติสำคัญทั้ง 4 ข้อ คือ โครงสร้างที่แข็งแรง, การ support ที่ดี, ความเบาสบาย, และการบรรเทาอาการบาดเจ็บจากแรงกระแทก เอาไว้ในรองเท้าคู่เดียว ด้วยเทคโนโลยีการถัก upper สุดล้ำและการพัฒนา Flight Plate ใหม่ให้ดียิ่งขึ้น และนับเป็นรุ่นที่มีน้ำหนักเบาที่สุดตั้งแต่เคยผลิตมา
นอกจากนี้แล้ว ความนิยมสูงลิ่วของไลน์รองเท้า Air Jordan ทำให้เราได้เห็นรองเท้ารุ่น retro ที่นำเอารุ่นเก่าๆ มาปรับเปลี่ยนดีไซน์และวางขายใหม่ รวมถึงรุ่นพิเศษ แพ็กเกจพิเศษ และรุ่น collab อีกมากมาย เช่น Levi’s x Air Jordan 1 23/501Eminem x Air Jordan 4OVO x Air Jordan 10 & 12Supreme x Air Jordan 5 เป็นต้น แต่ในบทความนี้เราเลือกมานำเสนอเฉพาะรุ่น original เท่านั้น
30 ปีผ่านไป อนาคตของ Jordan Brand ยังคงสดใส และยากที่จะสยบได้ ด้วยฐานแฟนคลับเหนียวแน่นทั่วโลก คุณภาพที่โดดเด่น ดีไซน์อันประณีต และรายละเอียดให้พูดถึงมากมายในแต่ละรุ่น แต่ละลายที่ผลิตออกมา เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีเรื่องราวอะไรน่าตื่นตาตื่นใจจากแบรนด์นี้ตามมาอีกในวันข้างหน้า


ไม่มีความคิดเห็น: