Jaguar E-Type กลับมาเกิดใหม่พร้อมยัดไส้เทคโนโลยีทันสมัย กลับมาเกิดใหม่พร้อมยัดไส้เทคโนโลยีทันสมัย
เราจะพาไปทำความรู้จักกับผู้ผลิตรถยนต์ที่นำ รถยนต์รุ่นดังในอดีตมาฟื้นฟูพร้อมยัดไส้
เทคโนโลยีใหม่ให้กลับมาโลดแล่นบนถนนได้อีกครั้ง ซึ่งตัวอย่างที่มีชื่อเสียงคือ Singer
ที่นำ Porsche 911 รุ่นระบายความร้อนด้วยอากาศมาทำตามกระบวนกล่าวนั่นเอง
สำหรับคราวนี้เป็นของผู้ผลิตนาม Eagle จากประเทศอังกฤษที่นำ Jaguar E-Type
มาทำเป็น Eagle Spyder GT
ก่อนที่เราจะลงรายละเอียดของ Eagle Spyder GT นั้น เรามาทำความรู้จักคร่าวๆ กับ
Jaguar E-Type กันก่อน ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในวันที่ 15 มีนาคม 1961 ในงาน
Geneva Motor Show มาพร้อมกับเอกลักษณ์ ไฟหน้าทรงกลมเบ้าลึกพร้อม
ฝาปิดอีกชั้น, หน้ายาว และท่อไอเสียปลายคู่ออกตรงกลาง หน้าตาของมันถือว่า
สวยงาม จน Enzo Ferrari เองยังเคยให้คำจำกัดความ Jaguar E-Type ว่า
เป็นรถยนต์ที่สวยที่สุดในโลก
Jaguar E-Type กันก่อน ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในวันที่ 15 มีนาคม 1961 ในงาน
Geneva Motor Show มาพร้อมกับเอกลักษณ์ ไฟหน้าทรงกลมเบ้าลึกพร้อม
ฝาปิดอีกชั้น, หน้ายาว และท่อไอเสียปลายคู่ออกตรงกลาง หน้าตาของมันถือว่า
สวยงาม จน Enzo Ferrari เองยังเคยให้คำจำกัดความ Jaguar E-Type ว่า
เป็นรถยนต์ที่สวยที่สุดในโลก
Jaguar E-Type มากับโครงสร้างแบบ Monocoque, ช่วงล่างหลังอิสระ และ ดิสเบรก 4 ล้อ
ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคสมัยของมัน ส่วนขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง
ความจุ 3.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 269 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ
ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลังให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.9 วินาที
ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 241 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ถือว่าล้ำหน้ามากในยุคสมัยของมัน ส่วนขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียง
ความจุ 3.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 269 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ
ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลังให้อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 6.9 วินาที
ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 241 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นั่นทำให้ Jaguar E-Type รถยนต์ Production ที่ทำความเร็วได้สูงที่สุดในโลกในขณะนั้น
ต่อมาในปี 1964 ทางผู้ผลิตได้นำเครื่องยนต์ XK ขนาด 4.2 ลิตรมาติดตั้งใน Jaguar E-Type
แทนซึ่งให้กำลังสูงสุดเท่าเดิม แต่มีแรงบิดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังปรับปรุงเกียร์ธรรมดาเป็น
แบบ Synchromesh และมีการเพิ่มตัวถัง 2+2 ในปี 1965 อีกด้วย
ต่อมาในปี 1964 ทางผู้ผลิตได้นำเครื่องยนต์ XK ขนาด 4.2 ลิตรมาติดตั้งใน Jaguar E-Type
แทนซึ่งให้กำลังสูงสุดเท่าเดิม แต่มีแรงบิดสูงขึ้น นอกจากนี้ยังปรับปรุงเกียร์ธรรมดาเป็น
แบบ Synchromesh และมีการเพิ่มตัวถัง 2+2 ในปี 1965 อีกด้วย
ต่อมาในปี 1967 มีการเปิดตัวรุ่นใหม่ที่รู้จักกันในชื่อ Series 1 ครึ่ง ออกจำหน่ายเพียงปีเดียว
ถึงปี 1968 โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของไฟหน้าพร้อมกับปรับปรุงเบรก ซึ่งทั้งหมดนี้
ถูกนำไปใช้ต่อใน Series 2 อีกด้วย อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงใน Series 2 และ
Series 3 ถูกวิจารณ์ว่าลดความงามของ Jaguar E-Type ลงไปเพราะกระจังหน้า และ
กันชนหน้าใหญ่กว่าเดิม ทั้งยังมีซุ้มล้อที่กว้างขึ้น
ถึงปี 1968 โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของไฟหน้าพร้อมกับปรับปรุงเบรก ซึ่งทั้งหมดนี้
ถูกนำไปใช้ต่อใน Series 2 อีกด้วย อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงใน Series 2 และ
Series 3 ถูกวิจารณ์ว่าลดความงามของ Jaguar E-Type ลงไปเพราะกระจังหน้า และ
กันชนหน้าใหญ่กว่าเดิม ทั้งยังมีซุ้มล้อที่กว้างขึ้น
Jaguar E-Type ทำการตลาดถึงปี 1975 ซึ่งตลอดระยะเวลา 14 ปีที่มันอยู่ในตลาด ได้กวาด
ยอดขายไปมากกว่า 70,000 คัน สำหรับราคาเริ่มต้นของ Jaguar E-Type ตอนเปิดตัวอยู่ที่
2,097 ปอนด์ (ราว 92,000 บาท) สำหรับตัวถัง Roadster และ 2,196 ปอนด์ (ราว 96,000 บาท)
สำหรับตัวถัง Coupe
ยอดขายไปมากกว่า 70,000 คัน สำหรับราคาเริ่มต้นของ Jaguar E-Type ตอนเปิดตัวอยู่ที่
2,097 ปอนด์ (ราว 92,000 บาท) สำหรับตัวถัง Roadster และ 2,196 ปอนด์ (ราว 96,000 บาท)
สำหรับตัวถัง Coupe
กลับมาที่พระเอกของเรื่องอย่าง Eagle Spyder GT กันต่อซึ่ง Eagle ไม่ได้สร้างรถยนต์
ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่นำ Jaguar E-Type มาบูรณะใหม่แทนโดยมีกระบวนการต่างๆ
ที่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4,000 ชั่วโมงการทำงาน ในการผลิต Eagle Spyder GT แต่ละคัน
ซึ่งกระบวนการฟื้นฟูนี้รวมไปถึงการดัดแปลงอย่าง ใช้ตัวถังอลูมิเนียมแบบ Monocoque
และยังมีการใช้วัสดุแมกนีเซียมในหลายส่วนด้วย
ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่นำ Jaguar E-Type มาบูรณะใหม่แทนโดยมีกระบวนการต่างๆ
ที่ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4,000 ชั่วโมงการทำงาน ในการผลิต Eagle Spyder GT แต่ละคัน
ซึ่งกระบวนการฟื้นฟูนี้รวมไปถึงการดัดแปลงอย่าง ใช้ตัวถังอลูมิเนียมแบบ Monocoque
และยังมีการใช้วัสดุแมกนีเซียมในหลายส่วนด้วย
Eagle Spyder GT มีน้ำหนักเพียง 1,029 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการใช้
เครื่องยนต์ และเกียร์ที่ทำจากวัสดุอลูมิเนียม ส่วนขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน Jaguar
XK 6 สูบแถวเรียง ความจุ 4.7 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 334 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
47.0 กก-ม. (461 นิวตันเมตร) ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง
เครื่องยนต์ และเกียร์ที่ทำจากวัสดุอลูมิเนียม ส่วนขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน Jaguar
XK 6 สูบแถวเรียง ความจุ 4.7 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 334 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด
47.0 กก-ม. (461 นิวตันเมตร) ทำงานร่วมกับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง
อัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง สามารถทำได้ต่ำกว่า 5 วินาที ช่วงล่างนั้นได้รับการ
ปรับปรุงใหม่หมดเช่นกัน โดยที่ Eagle Spyder GT มากับล้อสั่งทำ ขนาด 16 นิ้ว,
ช่วงล่างแบบ Double Wishbone ในด้านหน้า, Lower Wishboneในด้านหลัง,
โช๊คอัพปรับระดับได้จาก Ohlins, เหล็กกันโคลง และดิสเบรกจาก AP Racing ทั้ง 4 ล้อ
ปรับปรุงใหม่หมดเช่นกัน โดยที่ Eagle Spyder GT มากับล้อสั่งทำ ขนาด 16 นิ้ว,
ช่วงล่างแบบ Double Wishbone ในด้านหน้า, Lower Wishboneในด้านหลัง,
โช๊คอัพปรับระดับได้จาก Ohlins, เหล็กกันโคลง และดิสเบรกจาก AP Racing ทั้ง 4 ล้อ
ค่าตัวของ Eagle Spyder GT เริ่มต้นที่ 695,000 ปอนด์ (ราว 30,669,000 บาท) และยังไม่
รวมภาษี ซึ่งถึงราคาจะไม่ใช่น้อยแต่ก็ยังถูกกว่า Jaguar XKSS หรือ E-Type ตัวแข่งน้ำหนักเบา
ที่ Jaguar กลับมาสร้างใหม่ก่อนหน้านี้ และออกจำหน่ายในราคา 1,000,000 ปอนด์
(ราว 44,128,000 บาท)
รวมภาษี ซึ่งถึงราคาจะไม่ใช่น้อยแต่ก็ยังถูกกว่า Jaguar XKSS หรือ E-Type ตัวแข่งน้ำหนักเบา
ที่ Jaguar กลับมาสร้างใหม่ก่อนหน้านี้ และออกจำหน่ายในราคา 1,000,000 ปอนด์
(ราว 44,128,000 บาท)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น