รู้จักมินิ | สรุปรายละเอียดของ MINI ทุกรุ่น
อะไรคือ F56? มินิของเราคือรุ่นไหน? One ต่างจาก Cooper ยังไง? รุ่นไหนออกมาเมื่อไหร่? ใกล้ตกรุ่นหรือยัง?
ขออนุญาตรวบรวมคำถามยอดฮิต สำหรับมือใหม่ และมือเก๋า MINI ไว้ให้เข้าใจง่ายตามนี้นะครับ
รถมินิมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่มินิรุ่นคลาสสิค (สะกดว่า Mini) และนิวมินิ ที่อยู่ใต้ชายคาของ BMW Group (สะกดว่า MINI – ตัวใหญ่ทั้งหมด) ในที่นี้จะสรุปไว้เฉพาะรถนิวมินิ (MINI) ซึ่งผมจะพยายามรวบรวมมาอัพเดทให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ครับ
ปัจจุบัน MINI ในไทยมีตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ 3 รายคือ Millennium Auto มีโชว์รูมและศูนย์บริการที่เอกมัยซอย 7, ถนนพระรามสี่, อุบลราชธานี, หาดใหญ่, ภูเก็ต และเฉพาะศูนย์บริการที่ Millennium Auto สาขาพระรามสาม, German Auto มีศูนย์บริการที่บางนา, ถนนแจ้งวัฒนะ และ พัทยา ส่วนอีกรายคือ Sky Autohaus อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
รหัสตัวถัง
เจเนอเรชั่นแรก Gen.1 (ปี 2001 – 2008)
เป็นต้นกำเนิดของ MINI ที่เกิดขึ้นภายใต้หลังคาของ BMW Group ที่ได้ทำการเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม 2001 โดย MINI เริ่มผลิตรุ่น One/Cooper ในปี 2001 ก่อน และเริ่มผลิต Cooper S ในปี 2002
วิธีการสังเกตอย่างง่ายสำหรับ Gen.1 คือ ไฟหน้าจะติดอยู่กับฝากระโปรงหน้ารถ เวลาเปิดฝากระโปรงหน้า ไฟหน้าจะติดขึ้นไปด้วย
ใน Gen1 นี้ มีรหัสตัวถัง 3 ตัวด้วยกันคือ R50, R52 และ R53
R50 = ปี 2001-2006 – MINI One และ MINI Cooper
R53 = ปี 2002-2006 – MINI Cooper S และ MINI Cooper S JCW GP
R52 = ปี 2005-2008 – MINI Convertible ทุกโมเดล (ทั้ง One, Cooper และ S)
รายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละรหัสตัวถัง ดูได้ตามรายละเอียดด้านล่าง ที่แยกตามรหัสตัวถังไว้เรียบร้อยแล้ว
เจเนอเรชั่นที่สอง Gen.2 (ปี 2006 – 2016)
ในเจเนอเรชั่นที่สอง มินิมีการปรับโฉมครั้งใหญ่ มิติของตัวรถบวมขึ้นกว่าเดิม ปรับเปลี่ยนทั้งภายนอกและภายในให้ทันสมัยมากขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น เครื่องยนต์ใหม่ทั้งหมด เอาเทคโนโลยีจาก BMW มาใช้มากขึ้น ประหยัดกว่าเดิม ใน Gen.2 นี้ ไฟหน้ารถจะติดอยู่กับตัวรถ เวลาเปิดฝากระโปรงหน้า ไฟหน้าจะไม่ติดขึ้นไปด้วย
ใน Gen.2 มีหลายรหัสตัวถังด้วยกัน คือ
R56 = ปี 2007-2013 – MINI Hatchback
R55 = ปี 2008-2014 – MINI Clubman
R57 = ปี 2009-2015 – MINI Convertible
R60 = ปี 2010-2016 – MINI Countryman
R58 = ปี 2011-2015 – MINI Coupe
R59 = ปี 2012-2015 – MINI Roadster
R61 = ปี 2013-2016 – MINI Paceman
เจเนอเรชั่นที่สาม Gen.3 (ปี 2014 – ปัจจุบัน)
เจอเนอเรชั่นที่ 3 คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2013 โดยเริ่มจากรหัส F56 มาทดแทน MINI Hatchback R56 ก่อน และจะทะยอยเปิดตัวในรหัสตัวถังอื่นๆ ต่อไปในอนาคต
F56 = ปี 2014-ปัจจุบัน – MINI Hatchback 3 door
F55 = ปี 2014-ปัจจุบัน – MINI Hatchback 5 door
F54 = ปี 2015-ปัจจุบัน – MINI Clubman
F57 = ปี 2016-ปัจจุบัน – MINI Convertible
F60 = ปี 2017-ปัจจุบัน – MINI Countryman
รายละเอียดของแต่ละรุ่น ผมได้แบ่งตามรหัสตัวถัง และเรียงตามลำดับรุ่นที่ออกสู่ตลาด เพื่อง่ายต่อการค้นหา และเพิ่มเติมข้อมูลต่างๆ ตามนี้ครับ
R50 (2001-2006 : MINI One / MINI Cooper)
เครื่องยนต์:
Tritec I4 1.4L สำหรับ MINI One (รหัสเครื่องยนต์ W10)
Tritec I4 1.6L สำหรับ MINI Cooper (รหัสเครื่องยนต์ W10)
MINI R50 ถือว่าเป็น MINI ตัวแรกเลยครับ ตัวถังเป็นทรง Hatchback สุดคลาสสิค ในยุคแรก คือผลิตปี 2001-2004 จะเป็นรุ่นดั้งเดิม ก่อนมีการ minor change ในปี 2004 ซึ่งทาง MINI เรียกว่า facelift ปรับปรุง แก้ไขจุดบกพร่อง
วิธีการสังเกต R50 ก่อน facelift ง่ายที่สุดคือด้านท้ายของตัวรถ ไฟถอยจะอยู่ตรงกลาง เม็ดเดียวในกันชนหลังครับ (เหมือนรูปด้านบน)
MINI ภายในรหัสตัวถัง R50 จะมีทั้ง MINI One และ MINI Cooper ครับ โดย MINI One ใช้เครื่องยนต์ Tritec 1.4 ลิตร 90 แรงม้า และ MINI Cooper ใช้เครื่องยนต์ Tritec 1.6 ลิตร 115 แรงม้า ทาง MINI Thailand ทำตลาด 2 รุ่นนี้ ด้วยออพชั่นที่แตกต่างกันเล็กน้อย เช่น MINI One จะไม่สามารถเลือกสีหลังคาให้แตกต่างจากสีของตัวรถได้ หรือ MINI Cooper ที่แบ่งเป็น Look 1 กับ Look 2 ที่มีออพชั่นแตกต่างกัน เป็นต้น
ในปีแรก MINI ถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยล็อตแรก 30 คัน (ล็อตแรกนี้มีพิมพ์ลงหน้ากากของเข็มวัดรอบเป็นธงชาติไทย Launch Edition xx/30 ด้วย ถือเป็นล็อตที่หาได้ยากมากในปัจจุบัน) ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ มินิเป็นอย่างดี จนมีจำนวนรถมินิในไทยมากมายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
2004 – R50 Facelift (Minor Change)
ในปี 2004 ทาง MINI ได้ปรับโฉม R50 เล็กน้อย (minor change) มีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น และปรับหน้าตาของกันชนหน้า กันชนหลัง ไฟหน้า ไฟท้ายใหม่ วิธีการสังเกตอย่างง่ายคือ ไฟท้ายของ R50 facelift จะมีไฟถอยอยู่ด้านในทั้งฝั่งซ้ายและขวา ส่วนไฟตัดหมอกหลังจะอยู่ตรงกลางกันชนหลังเป็นเม็ดสีแดงๆ เม็ดเดียว
การ Facelift ครั้งนี้ เป็นช่วงที่แบรนด์ MINI เริ่มลงตัวมากที่สุด และเป็นช่วงที่ MINI กำลังได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากทั่วโลก เริ่มมีการออก MINI รุ่นพิเศษออกมา ซึ่งจะพูดถึงในตัวถัง R53 ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาเดียวกันครับ
R53 (2002-2006 : MINI Cooper S)
เครื่องยนต์:
Tritec I4 1.6L Supercharged (รหัสเครื่องยนต์ W11)
ในยุคแรกของ MINI นั้น ทาง MINI ได้แบ่ง Cooper S ออกมาเป็นอีกรหัสตัวถังอย่างชัดเจน ด้วยรหัส R53 ครับ ซึ่ง MINI Cooper S เป็นรุ่นที่ MINI เน้นในเรื่องของความเร็วความแรง ถึงแม้จะใช้เครื่องยนต์ 1.6 ลิตรเหมือนกับ MINI Cooper แต่มีในส่วนของ Supercharger ติดมาให้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของ R53 ที่คลาสสิค ทั้งในเรื่องของฟีลลิ่งในการขับขี่ และเรื่องของเสียงซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ ที่ถึงแม้ว่า MINI ทุกวันนี้จะไม่ได้ใช้ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์แล้ว แต่แฟนๆ มินิที่ขับกันมาตั้งแต่ยุค R53 ก็ยังคงติดอกติดใจกับเสียงอันไพเราะของมันอยู่
วิธีการสังเกต R53 ได้ง่ายที่สุดคือฝากระโปรงหน้า จะมีสกู้ปดักลมอยู่ตรงกลาง หรือหลายคนเรียกมันว่าจมูกนั่นเองครับ และอีกจุดหนึ่งที่ชัดเจนมากคือท่อไอเสียด้านหลัง จะเป็นท่อคู่ ออกตรงกลางรถ แตกต่างจาก MINI One และ Cooper ที่เป็นท่อเดี่ยว ออกทางด้านขวาของตัวรถ
จมูกของ R53 ที่จำเป็นต้องมีเพื่อให้การทำงานของซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลายเป็นสัญลักษณ์ของ MINI Cooper S มาจนถึงทุกวันนี้ แม้ว่าปัจจุบัน MINI Cooper S จะไม่จำเป็นต้องใช้สกู้ปดักลมแล้ว แต่ MINI ก็ยังคงมีจมูกมาให้กับ MINI Cooper S ทุกโมเดล (รวมถึงท่อไอเสียคู่ด้วย)
2004 – MINI Monte Carlo Edition (MC40)
ต้นปี 2004 ซึ่งเป็นปีฉลองครบรอบ 40 ปีมินิได้แชมป์แรลลี่ Monte Carlo เมื่อปี 1964 ที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์มินิเป็นอย่างมาก โอกาสนี้เอง ที่งาน Chicago Auto Show ทาง MINI ได้ออกรถรุ่นพิเศษชื่อ 40th Anniversary Monte Carlo Limited Edition (เรียกย่อว่ารุ่น MC40) จำกัดเพียง 1,000 คันทั่วโลก ทุกคันเป็นสีแดง มีสติ๊กเกอร์พิเศษ ตกแต่งลวดลาย Monte Carlo พร้อมเลข 37 ที่ประตูรถ ซึ่งเป็นหมายเลขเดียวกับที่มินิเข้าแข่งขันแรลลี่ในปี 1964 และได้แชมป์มา รุ่น MC40 นี้มีเข้ามาวิ่งในไทยด้วยเพียงไม่กี่คันเท่านั้น
2004 – R53 Facelift (Minor Change)
ในปี 2004 ปีเดียวกับที่ R50 ปรับโฉม ส่วนของ R53 ก็ปรับเช่นเดียวกัน โดยมีการปรับปรุงในส่วนของหน้าตา กันชนหน้า กันชนหลัง ไฟหน้า ไฟท้าย และมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ให้แรงขึ้นเล็กน้อย จากเดิม 163 แรงม้า เป็น 170 แรงม้า
2006 – Seven / Park Lane / Checkmate Special Edition
ปีสุดท้ายของตัวถัง R50/R53 ทาง MINI ได้ออกรถรุ่นพิเศษ Special Edtion มาทั้งหมด 3 รุ่น คือ MINI One Seven (ตัวนี้เป็น R50 แต่ขอเอามาไว้ในหมวดนี้), MINI Park Lane (ในไทยมีทั้ง Cooper และ Cooper S) และ MINI Checkmate (มีเฉพาะ Cooper S) มีการตกแต่งพิเศษ ด้วยสติ๊กเกอร์ ป้ายบอกรุ่น และวัสดุพิเศษ ล้อลายพิเศษในแต่ละรุ่น ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เช่น รุ่น Park Lane ตัวรถเป็นสี Royal Grey ที่ไม่มีในรุ่นอื่นๆ (แต่นำมาใช้อีกครั้งในรุ่น R60 Countryman ปี 2010) หรือในรุ่น Checkmate ที่มีการตกแต่งเป็นลายหมากรุก เช่นเดียวกับธงเส้นชัยในสนามแข่งรถ ที่ภายหลังได้รับความนิยมเอามาแต่งรถ MINI ในลักษณะเดียวกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยทั้ง 3 รุ่นนี้ผลิตในช่วงเวลาจำกัดเพียงไม่กี่เดือน มีนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และยังเห็นวิ่งอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
2006 – MINI Cooper S with JCW GP Tuning Kit Limited Edition
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะก่อนที่ MINI จะออก R56 ซึ่งเป็น MINI เจนเนอเรชั่นที่สอง ทาง MINI ได้ทำการออก MINI รุ่นพิเศษออกมาสร้างเซอร์ไพร์ส โดยชื่อรุ่นเต็มๆ คือ MINI Cooper S with John Cooper Works GP Tuning Kit Limited Edition ผลิตจำนวนจำกัด 2,000 คัน โดยทุกคันมีหมายเลขบนหลังคาตั้งแต่ 0001 จนถึง 2000
MINI GP ตัวนี้ มาพร้อมสีพิเศษ Thunder Blue มีชุดแอโร่ไดนามิก ทั้งกันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง สปอยเลอร์หลัง ล้อลายพิเศษ 18 นิ้ว เบรค John Cooper Works ด้านในมีเพียงเบาะคู่หน้า ส่วนเบาะหลังถูกถอดออก ติดตั้งเป็น anti-roll bar เบาะคู่หน้าเป็นเบาะชุดพิเศษจาก Recaro มีการตัดออพชั่นหลายอย่างออกไปเพื่อลดน้ำหนัก ทั้งแอร์อัตโนมัติ ที่ปัดน้ำฝนหลัง เซนเซอร์ถอย มีการจูนเครื่องยนต์ให้แรงที่สุดเท่าที่มินิเคยผลิตมา (ในยุคนั้น) โดยใช้เครื่องยนต์ MINI Cooper S แต่งเสริมด้วย JCW GP Tuning Kit เคลมความแรงอยู่ที่ 218 แรงม้า ประกอบที่โรงงาน Bertone ประเทศอิตาลี เป็นรถรุ่นที่ชาวมินิสะสมมากที่สุดรุ่นหนึ่ง มีการนำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระมาจำหน่ายในบ้านเราหลายสิบคัน ทุกวันนี้ยังพอเห็นได้อยู่ครับ
R52 (2005-2008 : MINI Convertible)
ในปี 2005 ทาง MINI ได้เปิดตัว “มินิเปิดประทุน” เป็นครั้งแรก ในชื่อรุ่น MINI Convertible หรือบางตลาดอาจเรียกว่า MINI Cabrio ภายใต้รหัสตัวถัง R52 มีทั้ง Cooper และ Cooper S ซึ่งฟีเจอร์ทั้งหมดจะเหมือนกับ R50/R53 ในรุ่นปีที่ทำการ facelift แล้ว แต่หลังคาเป็นผ้าใบ สามารถเปิดปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า 100% และ MINI R52 นี้ ถูกใช้ในงานโฆษณาจากหลากหลายแบรนด์ทั่วโลก ด้วยความโดดเด่นของแบรนด์ และความสวยงามตอนเปิดหลังคาของมัน
2007 – MINI Convertible Sidewalk
ในปี 2007 ทาง MINI ได้เปิดตัว MINI Convertible รุ่นพิเศษ ในชื่อ Sidewalk ซึ่งมีการตกแต่งพิเศษหลายจุด ทั้งสีพิเศษ Sparkling Silver, สีเบาะ Malt Brown English, ล้อ 17″ ลายพิเศษ Night Spoke (ลายนี้พิเศษมาก เพราะไม่ถูกนำมาใช้มินิในรุ่นอื่นๆ อีกเลย) และการตกแต่งด้วยสติ๊กเกอร์ชื่อรุ่น Sidewalk ด้านข้างรถ โดย MINI Convertible Sidewalk มีนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด ในไทยมีเพียง 10 คันเท่านั้น
R56 (2007-2013 : MINI Hatchback)
เครื่องยนต์:
N12 สำหรับ One/Cooper
N14 Turbo สำหรับ Cooper S/JCW
ปลายปี 2006 ทาง MINI ได้เปิดตัว MINI ในเจเนอเรชั่นที่สอง หรือที่เรารู้จักกันในรหัสตัวถัง R56 ครับ ซึ่งเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ที่สุดของ MINI โดยมีการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ไม่ใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ร่วมกับตัวถังเดิมเลย มิติของตัวรถดูอวบอ้วนขึ้น มีการเอาเทคโนโลยีของ BMW มาใช้มากขึ้น และรหัสตัวถังก็ใช้ร่วมกันทั้ง MINI One, Cooper, Cooper S, Cooper D (ดีเซล), Cooper SD และ JCW ไม่ได้แยกเหมือนกับ R50/R53 อีกแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงจุดใหญ่จุดหนึ่งของ R56 คือ MINI Cooper S ที่ไม่ได้ใช้ซุปเปอร์ชาร์จเจอร์แล้ว แต่เปลี่ยนมาใช้เทอร์โบชาร์จเจอร์แทน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้เครื่องยนต์ได้มากขึ้นกว่าเดิม ตัวเลขความเร็วสูงสุด รวมถึงอัตราเร่ง ทำได้ดีกว่า R53 มาก แต่ก็สูญเสียเอกลักษณ์ของซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ไป ทั้งคาแรคเตอร์ในการขับขี่และเสียง รวมถึงช่วงล่างที่นิ่มผิดกันเยอะ จนแฟนๆ มินิหลายคนบ่นกันว่าสูญเสียเอกลักษณ์ แต่ก็แลกมาด้วยความสบายขึ้นทั้งคนขับและคนนั่ง
เครื่องยนต์ที่ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด จาก Tritec 4 สูบ ไปใช้เครื่องยนต์ Prince 4 สูบ วาล์วทรอนิก ที่เกิดจากความร่วมมือของ BMW Group กับ PSA Peugeot Citroen ใช้ความจุ 1.6 ลิตรสำหรับ MINI One และ Cooper / 1.6 ลิตร ทวินสกรอล-เทอร์โบ สำหรับ MINI Cooper S และ JCW
ตัวเครื่องยนต์ Prince Engine ที่ใช้ใน Gen.2 ทั้งหมด ผลิตที่โรงงาน BMW Hams Hall Engine Plant ใน Warwickshire ประเทศอังกฤษ และถูกส่งมาประกอบเข้ากับรถยนต์ที่โรงงาน MINI Oxford Plant (BMW Group Plant Oxford)
ในปี 2008 เป็นต้นมา เทคโนโลยีที่ช่วยในการประหยัดน้ำมันของทาง BMW ที่ชื่อ BMW Efficient Dynamics นั้น ถูกเอามาประยุกต์ใช้กับ MINI เช่นกัน ภายใต้ชื่อ MINIMALISM ใช้คอนเซปต์ “น้อยกว่าแต่ให้ได้มากกว่า” หรือ “Less is More”
R56 นับถึงปัจจุบันมีการปรับปรุง minor change 1 ครั้ง ตอนปี 2011 ซึ่งทาง MINI เรียกการปรับโฉมครั้งนี้ว่า LCI 2011 (รายละเอียดในหัวข้อ LCI ด้านล่าง)
2009 – MINI Mayfair 50 / Camden 50 Special Edition
ปี 2009 เป็นปีที่สำคัญมากปีหนึ่งของ MINI ครับ เพราะเป็นปีที่ MINI ฉลองครบรอบ 50 ปี (นับตั้งแต่ Mini คันแรกเปิดตัวในปี 1959) ทาง MINI ก็มีกิจกรรมต่างๆ ทั่วโลกเพื่อเฉลิมฉลอง รวมถึงออกรถ MINI รุ่นพิเศษ 2 รุ่นครับ เป็น R56 ในชื่อ Mayfair 50 และ Camden 50
MINI Mayfair 50 มาพร้อมกับสีหลักเป็นสี Hot Chocolate และ Camden 50 มาพร้อมสี White Silver ตกแต่งด้วยลวดลายพิเศษ พร้อมแบดจ์วงกลมหน้ารถ เป็นโลโก้ MINI 50th Anniversary โดยทั้งสองรุ่นถูกนำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยด้วย ซึ่ง Mayfair 50 ที่นำเข้ามาโดยมิลเลนเนียมออโต้ จะมีเฉพาะรุ่น Cooper และ Camden 50 จะมีเฉพาะรุ่น Cooper S แต่ก็พอจะเห็น Mayfair 50 / Camden 50 จะผู้นำเข้าอิสระเช่นเดียวกัน
2009 – MINI JCW World Championship 50 Limited Edition
อีกหนึ่งความพิเศษส่งท้ายปี 2009 คือการออกรถ Limited Edition อีก 1 รุ่น คือ “MINI John Cooper Works World Championship 50” หรือบางคนอาจเรียกว่ารุ่น WC50 รุ่นนี้ไม่ได้ออกมาฉลอง 50 ปีมินิ แต่ออกมาฉลองครบรอบ 50 ปีการได้แชมป์ Formula 1 ของทีม John Cooper ผู้สร้างแบรนด์ JCW ครับ (ตรงกับปี 1959 เช่นเดียวกับปีเกิดของมินิ ผู้ขับขี่คือ Jack Brabham) รถรุ่นนี้จึงมีชื่อเล่นอีกหนึ่งชื่อคือรุ่น “F1”
รถ MINI JCW WC50 ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันทั่วโลก (ล็อตแรกผลิตเพียง 250 คัน แต่เพิ่มเป็น 500 ในภายหลัง) ถือเป็น MINI ที่ผลิตจำนวนจำกัดที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็น MINI R56 ที่มีความพิเศษหลายอย่าง ทั้งสีของตัวรถที่ใช้สีเขียว Connaught Green (สีนี้ไม่ถูกใช้ในรุ่นอื่นๆ เลย), มีลายเซ็นของ Michael Cooper ลูกชายของ John Cooper บนฝากระโปรงรถ และบนแผงคอนโซลฝั่งคนนั่ง, เบาะเลานจ์หนังดำเดินขอบสีแดง, ชุดแต่ง JCW พร้อมพาร์ทคาร์บอนไฟเบอร์เต็มชุด, เครื่องยนต์ JCW จากโรงงาน เกียร์ธรรมดา 6 สปีด, มีตัวเลขประจำรถ ตั้งแต่ 001 ถึง 500 ที่บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างซ้าย-ขวา
รถรุ่นนี้ ถูกนำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระมาวิ่งบนถนนเมืองไทยด้วย เท่าที่นับได้มีประมาณสิบกว่าคัน เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่นักสะสมควรมีไว้ในครอบครอง
2011 – LCI (Minor Change)
เครื่องยนต์:
N16 – One/Cooper
N18 Turbo – Cooper S
เข้าปี 2011 หลังจากเปิดตัว R56 มาได้ประมาณ 4 ปีเศษ ก็ถึงเวลาที่ MINI จะทำการ minor change ปรับปรุง แก้ไขปัญหาต่างๆ ของ R56 ครับ เรียกกันภายในว่า LCI 2011 ปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ใหม่ทุกรุ่น แรงขึ้นกว่าเดิม และประหยัดกว่าเดิม ปรับปรุงหน้าตาบางส่วน เช่น กันชนหน้า กันชนหลัง ไฟท้าย และแผงคอนโซลภายในตัวรถ วิธีการสังเกต LCI ที่ง่ายที่สุดคือให้ดูที่แผงคอนโซลกลางของตัวรถ ปุ่มต่างๆ และช่องใส่ซีดี จะเป็นสีดำทั้งหมด ในขณะที่รุ่นก่อน LCI จะเป็นสีเงินครับ
บล็อคเครื่องยนต์ถูกปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์รหัส N16 สำหรับ MINI One/Cooper และรหัส N18 เทอร์โบ สำหรับ Cooper S/JCW มีอัตราความแรงที่สูงขึ้นกว่ารุ่นก่อน LCI เล็กน้อย
2011 – MINI Inspired by Goodwood
MINI ได้สร้างความประหลาดใจให้กับแฟนๆ มินิอีกครั้ง (รวมถึงผมด้วย) ด้วยการออก MINI รุ่นพิเศษ ที่ร่วมมือกับ Rolls-Royce (ใช่ครับ ฟังไม่ผิดหรอก) ออกมาในชื่อรุ่น MINI Inspired by Goodwood ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันทั่วโลก โดยใช้วัสดุตกแต่งภายในเกรด Rolls-Royce เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหนังแท้ลวดลายเฉพาะ, ลายไม้วอลนัท ที่ผลิตในโรงงาน Goodwood ของ Rolls-Royce หรือแม้กระทั่งคอนโซลที่ทำจากหนังแท้สีดำ แทนที่คอนโซลพลาสติกของ MINI ในรุ่นปกติ, พรมหนังแกะอย่างหนา ขนนุ่ม เกรดเดียวกับที่ใช้ใน Rolls-Royce และ เรือนไมล์แบบพิเศษ
ในส่วนของภายนอก ใช้สีตัวถังพิเศษ ชื่อ Rolls-Royce Diamond Black Metallic เป็นสีมาตรฐาน แต่ลูกค้าสามารถเลือกสี Reef Blue Metallic ได้เช่นกัน, มีป้ายชื่อรุ่น Inspired by Goodwood อยู่บริเวณกรอบไฟเลี้ยวด้านข้างตัวรถ และ ที่กาบบันไดทั้งสองฝั่ง, จุดเด่นคือเป็น MINI Cooper S ที่ไม่มีสกู้ปดักลมที่ฝากระโปรงหน้า
MINI Inspired by Goodwood นี้ เปิดตัวที่งาน Shanghai Auto Show 2011 มีขายอย่างเป็นทางการในหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ในราคาที่แพงแบบไม่ธรรมดา (แต่ก็ขายหมดนะครับ) ที่สำคัญคือมีผู้นำเข้าอิสระนำเข้ามาขายในไทยด้วย ผมเองไม่แน่ใจว่ามีกี่คัน แต่เคยเห็นกับตาบนท้องถนนเมืองไทยและในที่จอดรถของห้างดังแล้ว 2-3 ครั้ง
2012 – JCW Refresh
หลังจาก MINI ได้ปรับปรุงหน้าตาภายในและภายนอกไปเมื่อปี 2011 ทุกโมเดลได้รับเครื่องยนต์ใหม่ยกเว้น JCW ครับ โดย JCW เพิ่งจะได้รับอัพเดทในปี 2012 ที่สร้างความฮือฮากับตลาด JCW ที่ถือว่าเป็นโมเดลที่แรงที่สุดของ MINI เพราะนี่คือครั้งแรกที่ JCW ได้รับออพชั่นเกียร์อัตโนมัติ จากเดิมที่มีเฉพาะเกียร์ธรรมดา และมีการอัพเดทมาใช้เครื่องยนต์ N18 เทอร์โบ เหมือนกับ Cooper S LCI 2011
การรีเฟรช JCW ครั้งนี้ ทำให้ JCW ทุกโมเดลเคลมตัวเลขประหยัดน้ำมันดีกว่าเดิม และปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าเดิม
ในปีนี้เอง ที่ MINI เริ่มทำตลาด JCW อย่างจริงจังมากขึ้น โดยมีข่าวลือว่า BMW Group ได้วาง position ของแบรนด์ JCW เอาไว้ไม่แพ้ที่ BMW วาง position ของแบรนด์ M Power เลยทีเดียว และปีนี้เป็นครั้งแรกที่ MINI เริ่มใช้ “หลังคาแดง” กับโมเดล JCW เพื่อสร้างความแตกต่างจากโมเดลอื่นๆ ซึ่งออพชั่นหลังคาสีแดงนี้ จะเลือกสั่งได้เฉพาะรถ JCW ที่มาจากโรงงานโดยตรงเท่านั้น
2012 – MINI Diesel Engine in Thailand
กลางปี 2012 เป็นครั้งแรกครับ ที่ MINI Thailand ตัดสินใจนำเข้ารถ MINI เครื่องยนต์ดีเซลมาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งจริงๆ แล้วที่ต่างประเทศ มีการทำตลาด MINI เครื่องยนต์ดีเซลมาตั้งแต่ปี 2003 แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องราคา, ความพร้อมในการให้บริการ, และคุณภาพน้ำมันดีเซลในไทย ทำให้ MINI Thailand เพิ่งนำเข้ามา ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เจเนอเรชั่นที่ 3 ของ MINI แล้ว ด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล 2.0 ลิตร รหัส N47TU ความโดดเด่นของเครื่องยนต์ดีเซลคือ ทอร์คสูง ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำ ให้อัตราเร่งดีเยี่ยม และอัตราการประหยัดน้ำมันอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าประหยัดมากๆ (จากการทดสอบของสื่อมวลชนหลายสำนัก สามารถทำได้มากกว่า 20km/l สำหรับ Cooper D)
เบื้องต้น ทาง MINI Thailand ได้นำ MINI เครื่องยนต์ดีเซลเข้ามาทั้ง Cooper D และ Cooper SD (แตกต่างกันที่ความแรงนะครับ เป็นเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลทั้งคู่) โดยมีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นคือ R56 MINI Cooper D, R56 MINI Cooper SD, R58 MINI Cooper SD Coupe, R60 MINI Cooper D Countryman และ R60 MINI Cooper SD Countryman เปิดราคาสูงกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซินประมาณ 250,000 – 300,000 บาท และได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ มินิในไทยเป็นอย่างดี
2012 – MINI JCW GP Limited Edition
ปลายปี 2012 เป็นไปตามที่หลายคนคาด คือ MINI ได้เปิดตัว MINI JCW GP ภายใต้รหัส R56 ซึ่งยังคงคอนเซปต์คล้ายกับ GP ตัวเดิมที่เปิดตัวในปี 2006 คือถูกปรับแต่งมาเป็นพิเศษ สีของตัวรถ เครื่องยนต์ ช่วงล่าง อุปกรณ์ตกแต่ง และที่สำคัญคือ ผลิตด้วยจำนวนจำกัด 2,000 คันเช่นเดิม ซึ่ง JCW GP (บางคนอาจเรียกว่า GP2) ถูกจองหมดอย่างรวดเร็วทั่วโลกตั้งแต่ยังไม่ส่งมอบรถเลยทีเดียว
จุดเด่นของ GP2 ก็คือ สีของตัวรถใช้สีพิเศษ Thunder Grey (ไม่ถูกใช้ใน MINI รุ่นอื่นๆ), ล้อสไตล์ GP แต่เป็นลายใหม่ ลดขนาดจากขอบ 18 นิ้วใน GP เดิม เหลือ 17 นิ้ว, เบรคขนาดใหญ่ 6-pot ที่ไม่ถูกใช้ใน MINI รุ่นอื่นๆ เช่นกัน, ช่วงล่างแบบปรับความสูงได้, มีการถอดเบาะหลังออก และใส่ Anti-Roll Bar สีแดงมาให้, เบาะ Recaro Sport Seats, สติ๊กเกอร์ตกแต่งลายพิเศษ, ขอบบันไดลาย GP, สปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่ รูปทรงใกล้เคียงกับ GP เดิม, ดิฟฟิวเซ่อหลังขนาดใหญ่ และทุกคันเป็นเกียร์ธรรมดา 6-สปีด ที่ถูกเซ็ตมาแตกต่างจาก MINI JCW ทั่วไปอย่างชัดเจน
สิ่งที่หายไปของ GP2 นี้ คือไม่มีตัวเลขบ่งบอกอีกแล้ว ว่าเป็น Limited คันที่เท่าไหร่ เนื่องจากตลาดเอเชียหลายประเทศ ถือเรื่องโชคลาง มีบางเลขที่ความหมายไม่ดี ทาง MINI จึงตัดปัญหา ไม่ใส่ตัวเลขมากับตัวรถ ยกเว้นตลาดสหรัฐอเมริกา ที่มีการเพิ่มสติ๊กเกอร์เลขรถบนหลังคาเข้าไปเอง
MINI JCW GP รุ่นนี้ ไม่ถูกนำเข้าผ่านตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แต่มีการนำเข้าผ่านผู้นำเข้าอิสระจำนวนพอสมควร มาวิ่งบนถนนเมืองไทย นับได้มากกว่า 10 คันแล้ว
R55 (2008-2014 : MINI Clubman)
ในปี 2008 (ที่งาน NAIAS, Detroit) ทาง MINI ได้เปิดตัวมินิตัวถังใหม่ภายใต้รหัส R55 โดยยึดตามแบบของ Mini Traveler ของรุ่นคลาสสิค ลักษณะของ MINI Clubman นั้น จะมีตัวถังที่ยาวขึ้นกว่ารุ่น Hatchback ประมาณ 24 ซม. ฐานล้อยาวกว่าเดิม 8 ซม. โดยมีการเพิ่ม “ประตู” เล็กๆไปในฝั่งคนขับ เรียกว่าประตู Clubdoor และฝาท้ายเป็นแบบตู้กับข้าว มีความโดดเด่นเรื่องพื้นที่เก็บสัมภาระ (หากพับเบาะหลังจะเก็บได้มากถึง 920 ลิตร) และความสะดวกสบายในการเข้าออกของเบาะหลัง รวมถึงพื้นที่วางเท้าของคนนั่งเบาะหลังก็มีมากขึ้นด้วย
MINI Clubman เปิดตัวมาพร้อมกับสีใหม่ คือสี Hot Chocolate ที่ ณ วันเปิดตัว มีให้เลือกเฉพาะตัวถัง Clubman เท่านั้น แต่สีนี้ถูกเพิ่มเป็นออพชั่นให้กับรหัสตัวถังอื่นๆ ในปีถัดๆ มา
ข้อสังเกตของ MINI Clubman คือถึงแม้ว่า MINI จะทำตลาดทั้งในกลุ่มประเทศพวงมาลัยซ้ายและพวงมาลัยขวา แต่ประตู Clubdoor ที่เพิ่มขึ้นมาจะอยู่ฝั่งขวาของตัวรถเท่านั้น ซึ่งเมื่อมาใช้งานในประเทศพวงมาลัยขวาแบบบ้านเรา ทำให้การขึ้นลงของผู้โดยสารด้านหลังอาจจะทำได้ไม่ถนัดมากนัก (เพราะประตูอยู่ขวา เปิดลงมาก็เป็นถนน ไม่ใช่ฟุตบาท) ผิดกับประเทศที่ใช้พวงมาลัยซ้าย ที่ดูจะ practical มากกว่าในการใช้ MINI Clubman
อย่างไรก็ตาม MINI Clubman ก็เป็นอีกหนึ่งตัวถังที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและประโยชน์ใช้สอย โดยเฉพาะพื้นที่เก็บสัมภาระที่ดีเยี่ยม และยังคงฟีลลิ่งการขับขี่ในสไตล์ MINI ไม่แพ้ตัวถัง R56 อีกด้วย
2011 – MINI Clubman Hampton
กลางปี 2011 ทางมินิประเทศไทย ได้เปิดตัว MINI Clubman รุ่นพิเศษ ในชื่อรุ่น Hampton ครับ เป็นมินิ Special Edition ที่ตกแต่งพิเศษหลายอย่าง มีสีหลักคือสี Reef Blue (แต่ก็มีตัวเลือกเป็นสีขาว Pepper White และสีดำ Midnight Black ให้เลือกด้วย) มีโลโก้ Hampton อยู่บริเวณขอบหน้าต่างของตัวรถ, บันไดรถ, กรอบไฟเลี้ยว, ล้อลายพิเศษ Twin Blade Spoke 17 นิ้ว
งานเปิดตัว MINI Clubman Hampton ในไทยนี้จัดขึ้นที่โรงแรม Mandarin Oriental กรุงเทพครับ
2012 – MINI Clubvan Concept
ต้นปี 2012 ทาง MINI ก็ได้เปิดตัวคอนเซปต์คาร์ใหม่ 1 รุ่นด้วยกัน คือ MINI Clubvan Concept ครับ … ไม่ได้พิมพ์ผิด และอย่าสับสนกับ R55 Clubman นะครับ ถึงแม้ว่า MINI Clubvan Concept จะใช้ตัวถังแบบเดียวกับ MINI Clubman ทุกอย่าง แต่มีการดัดแปลงภายใน ให้สมกับชื่อของรถ Van คือต้องเก็บของได้มาก ทาง MINI เลยตัดเอาเบาะหลังออกทั้งหมด เหลือเพียง Clubman ที่มีแค่ 2 ที่นั่ง แต่เก็บของได้เยอะมหาศาล และยังมีการเสริมคานเหล็กบริเวณหลังเบาะคู่หน้า เพื่อป้องกันไม่ให้สัมภาระไหลมากระแทกเมื่อมีการเบรคกะทันหันด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นของ MINI Clubvan Concept คือลวดลาย Vinyl ด้านนอกตัวรถ ที่เอาไว้เพนท์บอกว่าเราขนอะไรมาขาย เข้ากับสไตล์รถแวนสมัยก่อน ผมจำได้ว่า MINI USA เคยทำแคมเปญออนไลน์ ประกวดออกแบบลาย Vinyl สำหรับรถ Clubvan ด้วยล่ะ
และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะ 1 ปีให้หลังจากที่ MINI ปล่อย MINI Clubvan Concept ออกมา ก็ได้ฤกษ์ผลิตขายจริง และมีเพียง One/Cooper/Cooper D เท่านั้น (ไม่มี Cooper S) ทำตลาดในบางประเทศ โดยเริ่มจากสหรัฐอเมริกาในเดือนมี.ค. 2013 ก่อน แต่เมื่อถึงเดือน ก.ค. 2013 MINI Clubvan ขายในสหรัฐอเมริกาได้เพียง 52 คันเท่านั้น ทาง MINI USA จึงตัดสินใจยกเลิกการขาย MINI Clubvan ในที่สุด แต่ก็ยังคงมีอยู่ในบางประเทศครับ
MINI Clubvan ไม่มีการนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย
R57 (2009-2015 : MINI Convertible)
ต้นปี 2009 ก็ได้ฤกษ์งามยามดี สำหรับ MINI เปิดประทุน Generation ที่ 2 หลังจากที่ R52 MINI Convertible อยู่ในตลาดมาหลายปี และ MINI ก็ทำตลาด Gen.2 อย่าง R56 และ R55 ไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ก็เป็นไปตามคาดที่ทาง MINI จะออกมินิเปิดประทุนมาใหม่ โดยรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ R56 แต่เป็นหลังคาผ้าใบ และยังคงเปิดประทุนด้วยระบบไฟฟ้า 100%
สิ่งที่ปรับปรุงจาก R52 Convertible ที่นอกเหนือจากการปรับโฉมจาก Gen.1 มาเป็น Gen.2 แล้ว ยังมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ MINI ใส่ใจกับรถ “เปิดประทุน” ของตนเองอีกหลายจุด เช่น การเพิ่มเกจ์ ‘Always Open Timer’ เพื่อวัดว่าเราได้เปิดประทุนมาเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่แล้ว ซึ่ง MINI ได้ใช้เป็นจุดเด่นในการทำตลาด ให้เจ้าของ MINI Convertible อยากที่จะเปิดประทุนมากขึ้น (เพื่อที่จะได้เห็นเข็มในเกจ์นี้ขยับ) และใช้คำโปรยในโฆษณาว่า ‘Always Open’
มีการปรับปรุงในส่วนของ Rollover Bar ด้านหลังใหม่ ให้ปลอดภัยมากขึ้น และมีทัศนวิสัยที่ดีขึ้น รวมถึงปรับปรุงส่วนของพื้นที่เก็บสัมภาระ ให้เก็บได้มากขึ้น และสามารถเข้าถึงพื้นที่ฝากระโปรงท้ายได้จากเบาะหลัง โดยไม่ต้องลงจากรถ
R57 MINI Convertible ถือเป็นตัวถังที่ได้รับความนิยมสูงมากในการใช้เป็นโมเดลถ่ายภาพ / ถ่ายทำโฆษณาต่างๆ ซึ่งเราจะได้เห็นจากสื่อหลักอยู่เป็นประจำครับ
R60 (2010-2016 : MINI Countryman)
ก่อนที่จะพูดถึง MINI Countryman ที่เปิดตัวตอนต้นปี 2010 ต้องย้อนไปถึงช่วงปลายปี 2008 เลยครับ ที่งาน Paris Motor Show 2008 ทาง MINI ได้เปิดตัวรถยนต์คอนเซปต์หนึ่งรุ่น คือ MINI Crossover Concept ซึ่งเป็นรถที่มีขนาดและมิติไม่ต่างจาก MINI Countryman เลย แต่ ณ ปีนั้นยังคงเป็นคอนเซปต์คาร์ ที่หลายสำนักคาดเดากันต่างๆ นานา ว่า MINI จะมาเอาจริงกับรถที่มีขนาดใหญ่จนไม่น่าจะเรียกว่า MINI จริงหรือ?
แต่พอถึงต้นปี 2010 ทุกอย่างก็เป็นจริงครับ กับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ MINI Countryman รถ MINI คันแรกที่มีความยาวมากกว่า 4 เมตร, มี 4 ประตู (บางคนอาจเรียกว่า 5 ประตู ถ้ารวมฝากระโปรงท้าย), และมาพร้อมออพชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อ (ALL4)
MINI Countryman เปิดตัวภายใต้รหัสตัวถัง R60 ถือเป็นการบุกเบิกเซคชั่นใหม่ของแบรนด์ MINI แบบเต็มตัว โดยกระแสตอบรับในช่วงเปิดตัวนั้น ออกมาหลายทิศทางมาก (ไม่แพ้กับตอนที่ Porsche เปิดตัว Cayenne เลยทีเดียว) แต่สุดท้าย MINI Countryman ก็กลายเป็น MINI รุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดรุ่นหนึ่งจนถึงปัจจุบัน
เกร็ดน่ารู้: ในประเทศญี่ปุ่น MINI Countryman ทำตลาดด้วยชื่อรุ่น MINI Crossover
MINI Countryman ถือเป็น MINI รุ่นแรก ที่ไม่ได้ผลิตที่โรงงาน Oxford ประเทศอังกฤษ แต่ถูกผลิตที่โรงงานของ Magna Steyr เมือง Graz ประเทศออสเตรียตั้งแต่แรกเริ่ม และในเดือนเมษายน 2013 ก็ได้โรงงานของ BMW Group ที่เชนไน ประเทศอินเดีย มาช่วยผลิตอีกแรง
ออพชั่นเสริมของ MINI Countryman ที่น่าสนใจคือออพชั่นขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือที่ MINI เรียกว่า ALL4 ซึ่ง MINI มีออพชั่นนี้ให้เลือกเฉพาะรุ่น MINI Cooper S เท่านั้น (และถูกเพิ่มให้ Cooper เลือกได้ในบางประเทศยุโรป) โดยการทำงานของระบบ ALL4 จะคำนวนโดยระบบคอมพิวเตอร์ของตัวรถ ถ่ายการทำงานของแต่ละล้อให้เหมาะสมกับสภาพถนน ณ ตอนนั้นโดยอัตโนมัติ ไม่มีปุ่มเปิด/ปิดการทำงาน และคนขับไม่สามารถเลือกควบคุมได้
ในปี 2010 ทาง MINI ได้ตัดสินใจประกาศกลับเข้าสู่การแข่งขัน World Rally Championship หรือ WRC อีกครั้ง ด้วยรถ MINI Countryman WRC ที่ถูกปรับแต่งมาเป็นพิเศษ และได้เข้าแข่งขันในฤดูกาลปี 2011 เป็นครั้งแรก ได้รับรางวัล Rally Car of the Year โดย Autosport
จากนั้น Stephane Peterhansel นักขับแรลลี่ชื่อดัง ก็มาเป็นผู้นำรถ MINI ALL4 เข้าเส้นชัย เป็นแชมป์ Rally Dakar ทั้งในปี 2012 และ 2013
MINI Countryman เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในงาน Thailand International Motor Expo 2010 ครับ
2012 – MINI JCW ALL4 Countryman
ข้อสังเกตหนึ่งของ MINI Countryman ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2010 คือยังไม่มีตัวเลือกของโมเดล John Cooper Works (JCW) มาให้ แต่มาเปิดตัวในปี 2012 ด้วยรหัสเครื่องยนต์ใหม่ ที่มีออพชั่นของเกียร์ออโต้ให้เลือกด้วย (ดูรายละเอียดจากหัวข้อ 2012 – JCW Refresh ของ R56) และยังมาพร้อมกับชุดแต่งแอโรไดนามิกรอบคัน ล้อลายใหม่ เบรคแบบสปอร์ต และการตกแต่งภายในใหม่ทั้งหมด ซึ่ง MINI JCW ALL4 Countryman นี้ ทาง MINI เคลมตัวเลขความแรงเอาไว้ที่ 211 แรงม้า รีดความแรงออกมาจน MINI ต้องล็อคความเร็วสูงสุดในคอมพิวเตอร์ของรถเพื่อทำตลาดในบางประเทศเลยทีเดียว
JCW ของ Countryman นี้ มีเฉพาะที่เป็น ALL4 ครับ และถูกนำเข้าโดยผู้นำเข้าอิสระเข้ามาวิ่งบนถนนบ้านเราหลายคันแล้วเหมือนกัน
2012 – MINI Countryman Mid-Cycle Refresh
ปลายปี 2012 หลังจากที่ MINI Countryman ออกมาได้ 2 ปีเศษ ทาง MINI ก็ได้ปรับปรุง Countryman เล็กน้อย (ต้องบอกว่าเล็กน้อยมาก ไม่นับเป็น Minor Change ด้วยซ้ำ) แต่เป็นการปรับปรุงที่ใส่ใจกับรายละเอียดปลีกย่อยโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น การย้ายตำแหน่งปุ่มเปิด/ปิดหน้าต่าง มาอยู่ที่ประตู จากเดิมที่อยู่คอนโซลกลาง, ดีไซน์แผงประตูภายในใหม่, ปรับปรุงสีตกแต่งภายใน, เพิ่มสีตัวรถ Blazing Red และ Brilliant Copper โดยการปรับปรุงครั้งนี้ไม่แตะต้องระบบเครื่องยนต์ ช่วงล่าง และชุดเกียร์ครับ
2013 – MINI Countryman ประกอบในประเทศไทย
เรื่องนี้น่าจะช็อควงการที่สุดในปี 2013 ครับ หลังจากที่ BMW Group ประกาศว่า MINI Countryman จะประกอบในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ที่โรงงาน BMW Manufacturing นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ.ระยอง (โรงงานเดียวกับที่ประกอบ BMW ซีรีย์ 3, 5, 7, X1 และ X3) และได้ทำการเปิดตัวสายการประกอบรถ MINI Countryman อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 ส.ค. 2013
เบื้องต้น MINI Countryman จะประกอบในไทยทั้งหมด 3 โมเดลคือ MINI Cooper Countryman, MINI Cooper D Countryman และ MINI Cooper SD ALL4 Countryman โดยเปิดราคาต่ำกว่า Countryman ที่เคยนำเข้ามามากถึงรุ่นละ 750,000 – 800,000 บาท ส่งผลให้ MINI Countryman เป็น MINI ที่เปิดราคาขายถูกที่สุดในไทยทันที เริ่มต้นที่เพียง 1.84 ล้านบาทเท่านั้น และเริ่มส่งมอบคันแรกได้ประมาณเดือน ต.ค. 2013
R58 (2011-2015 : MINI Coupe)
กลางปี 2011 ทาง MINI ได้เปิดตัว MINI Coupe ภายใต้รหัสตัวถัง R58 ซึ่งเป็น MINI รุ่นแรกที่มีเพียงแค่ 2 ที่นั่ง ทรง Sport หลังคาแข็ง มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่นทั้งรูปลักษณ์ และฟีลลิ่งในการขับขี่ที่ถูกเซ็ตมาสปอร์ตกว่า R56 อย่างชัดเจน พื้นที่เก็บสัมภาระที่ฝากระโปรงท้ายมหาศาลถึง 280 ลิตร มีช่องเปิดทะลุระหว่างห้องโดยสารกับห้องเก็บสัมภาระได้ หลังคาของรถ MINI Coupe เป็นทรงโค้งเหมือนใส่หมวกกลับด้าน มีสปอยเลอร์หลังที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ยกขึ้นเองเมื่อความเร็วเกิน 80km/h และเก็บเองเมื่อความเร็วต่ำกว่า 60km/h
MINI Coupe เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการในงาน Thailand International Motor Expo 2011
R59 (2012-2015 : MINI Roadster)
ปลายปี 2011 ช่วงรอยต่อเข้าปี 2012 ทาง MINI ได้เปิดตัว MINI Roadster ตามมา ภายใต้รหัสตัวถัง R59 ซึ่งแชร์ตัวถังกับ R58 แต่เป็นหลังคาผ้าใบ เปิดประทุนได้ โดย MINI Roadster เป็นรถเปิดประทุน 2 ที่นั่งรุ่นแรกของแบรนด์ MINI
ระบบเปิดประทุนของ MINI Roadster มาให้เลือก 2 ออพชั่น คือ เปิดด้วยมือ 100% โดยไม่ใช้ระบบไฟฟ้าเลย และแบบ Semi-Automatic เปิดด้วยไฟฟ้า และยังคงต้องใช้มือเพื่อล็อค/ปลดล็อคหลังคาอยู่ โดยที่ MINI ให้เหตุผลของการไม่ทำระบบเปิดประทุนด้วยไฟฟ้า 100% ของ MINI Roadster ว่า ชุดยกหลังคาแบบไฟฟ้า 100% มีน้ำหนักมากเกินไป และอาจทำให้ MINI Roadster สูญเสียพื้นที่เก็บสัมภาระโดยไม่จำเป็น ซึ่งภายหลัง MINI ได้ยกเลิกออพชั่นเปิดด้วยมือออก เหลือเพียงแบบ Semi-Automatic เท่านั้น
MINI Roadster เผยโฉมครั้งแรกอย่างเป็นทางการในประเทศไทยในงาน MINI Festival 2012 ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบ 10 ปีมินิประเทศไทย โดยทางมินิประเทศไทยนำเข้า MINI Roadster เข้ามาจำหน่ายด้วยจำนวนที่น้อยมากๆ คาดว่าเมื่อรวมกับจำนวนของผู้นำเข้าอิสระแล้ว มี MINI Roadster อยู่ในไทยประมาณ 10 คันเท่านั้น
R61 (2013-2016 : MINI Paceman)
MINI Paceman รหัสตัวถัง R61 ถือเป็น MINI ตัวถังแบบที่ 7 ที่ทาง MINI ได้ทำการเปิดตัว และถือว่าเป็นรถ category ใหม่ของโลก ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยทาง MINI ตั้งชื่อกลุ่มรถของ MINI Paceman ว่ามันคือ Sports Activity Coupe ซึ่งถ้าดูจากขนาดและประโยชน์ใช้สอย ก็คงต้องบอกว่าจริงอย่างที่ MINI ว่าไว้ คือมันไม่มีรถยี่ห้ออื่นๆ หรือ รุ่นอื่นๆ ที่ตรงกับ MINI Paceman โดยตรงเลย
MINI Paceman มีความยาวเท่ากับ R60 MINI Countryman แต่มี 2 ประตู มีการดีไซน์ในส่วนของหลังคาให้ลาดเอียงลงไปทางด้านท้ายรถคล้ายคลึงกับที่เราได้เห็นใน R58 MINI Coupe แต่ภายในยังคงกว้างและเก็บของได้เยอะไม่แพ้ Countryman นอกจากนี้ MINI Paceman ยังมีการออกแบบในส่วนของด้านท้ายใหม่ทั้งหมด เป็นครั้งแรกที่ MINI ใช้ไฟท้ายในรูปทรงแนวนอน และเป็นครั้งแรกที่ MINI มีการติดชื่อรุ่นลงไปบนตัวรถที่ฝากระโปรงท้าย (ภายหลัง ออพชั่นป้ายชื่อรุ่นนี้มีให้เลือกใน Countryman ด้วย)
ด้วยความที่รูปทรงของ Paceman ยังมาเป็น MINI ทรงสูงแบบ Countryman จึงยังคงมีออพชั่นขับเคลื่อนสี่ล้อหรือ ALL4 มาให้ครับ MINI Paceman มาพร้อมกับสีใหม่คือสี Starlight Blue (สีที่เห็นตามรูปด้านบน) ซึ่งเป็นสีที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นสีที่ exclusive ให้กับ MINI Paceman โดยเฉพาะ รุ่นอื่นไม่สามารถเลือกสีนี้ได้
MINI Paceman เปิดตัวในไทย ในงาน Bangkok International Motor Show 2013 เดือนมีนาคม
อ่านรีวิว MINI Cooper S ALL4 Paceman ของเราได้ที่นี่ >> Review: MINI Cooper S ALL4 Paceman
F56 (2014-ปัจจุบัน : MINI Hatchback)
18 พฤศจิกายน 2013 ทาง MINI ได้เปิดตัว MINI Hatchback ในเจเนอเรชั่นที่ 3 ภายในรหัส F56 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งของแพลทฟอร์มรถ MINI มีการปรับปรุงดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกใหม่ทั้งหมด โดยไม่ใช้อะไหล่ร่วมกับเจเนอเรชั่นก่อนหน้าเลย งานเปิดตัวจัดขึ้นครั้งแรกที่โรงงาน MINI Plant Oxford ตรงกับวันคล้ายวันเกิดครบ 107 ปีของ Sir Alec Issigonis ผู้ให้กำเนิดแบรนด์มินิ
MINI Hatchback ในรหัส F56 นี้ ได้รับการปรับปรุงโฉมใหม่ทั้งหมด แต่ยังคงเอกลักษณ์ดีไซน์ของความเป็น MINI โดยใช้คอนเซปต์ The New Original มีความโดดเด่นที่กระจังหน้ารูปทรงหกเหลี่ยม ซึ่งเหมือนกับที่ใช้ในรถมินิคลาสสิค ไฟหน้ามีวงแหวน Daytime Running Lights เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน มิติของตัวรถมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า R56 ทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความยาว ความกว้าง และ ความสูงของตัวรถ
ภายในตัวรถมีการปรับปรุงใหม่โดยใช้เทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ MINI Connected ใหม่, ระบบช่วยจอด Park Assist, มีกล้องหน้ารถและกล้องถอยจอด, หน้าจอ Head-up Display, มีการปรับปรุงทางการดีไซน์ของคอนโซลกลางใหม่ ที่ไม่ได้เป็นมาตรวัดความเร็วแล้ว แต่เป็นวงแหวนของไฟสีต่างๆ เพื่อบอกสถานะการทำงานของระบบที่กำลังควบคุมอยู่ภายในตัวรถแทน มีการมาตรวัดความเร็วไปอยู่บริเวณหลังพวงมาลัยเพื่อบอกข้อมูลให้กับผู้ขับเพียงคนเดียว
เครื่องยนต์ ถูกอัพเกรดมาใช้เครื่องยนต์ใหม่ของ BMW โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 3 รุ่นคือ เครื่องยนต์เบนซินรหัส B38 TwinPower Turbo 1.5 ลิตร 3 สูบ ให้กำลัง 134 แรงม้า สำหรับ MINI Cooper, เครื่องยนต์เบนซินรหัส B48 TwinPower Turbo 2.0 ลิตร 4 สูบ ให้กำลัง 189 แรงม้า สำหรับ MINI Cooper S และ เครื่องยนต์ดีเซลรหัส B37 TwinPower Turbo ให้กำลัง 114 แรงม้า สำหรับ MINI Cooper D
2015 – MINI John Cooper Works
MINI เปิดตัว MINI John Cooper Works (JCW) ตัวแรกของเจเนอเรชั่นที่สาม ภายใต้ตัวถัง F56 ที่งาน North American International Auto Show เมือง Detroit ในช่วงเดือนมกราคม 2015 โดยมีการปรับแต่ง MINI F56 ให้มีความแรงสูงถึง 231 แรงม้า ให้กำลังสูงที่สุดในบรรดา MINI ทุกรุ่น ณ วันเปิดตัว โดยยังคงใช้เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ทวินพาวเวอร์เทอร์โบ 4 สูบเช่นเดียวกับรุ่น MINI Cooper S แต่สามารถปรับแต่งให้แรงขึ้นมากกว่าเดิมมหาศาล
MINI JCW เปิดตัวในสีใหม่ คือสีเขียว Rebel Green ตัดกับหลังคาสีแดงอย่างโดดเด่น มีตัวเลือกของทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ภายในมีการตกแต่งใหม่ทั้งหมด ด้วยเบาะ Recaro และคอนโซลที่เสริมเอาลวดลายของธงหมากรุก รวมถึงสัญลักษณ์ John Cooper Works อย่างชัดเจนทุกจุด
MINI JCW เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในงาน Thailand International Motor Expo 2015 โดยเบื้องต้น มินิ ประเทศไทยนำเข้ามาจำหน่ายเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
2018 – LCI (Minor Change)
ต้นปี 2018 MINI ประกาศเปิดตัว MINI Hatch รุ่นปรับโฉมใหม่ (LCI) โดยมีรายละเอียดของอุปกรณ์ตกแต่งที่ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น โดดเด่นด้วยไฟท้ายลวดลาย Union Jack, ปรับโลโก้ให้เป็นโลโก้ MINI แบบใหม่ในทุกตำแหน่ง และ เปลี่ยนมาใข้ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง
ในส่วนของชุดเกียร์ มีการอัปเกรดมาใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด แบบคลัตช์คู่ (DCT) เป็นครั้งแรกของรถมินิ
มินิ ประเทศไทย เปิดตัวมินิรุ่นปรับโฉมใหม่ และเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2018 ครบทุกรหัสเครื่องยนต์ ทั้ง MINI Cooper, Cooper D, Cooper S และ John Cooper Works
F55 (2014-ปัจจุบัน : MINI 5 door)
5 มิถุนายน 2014 ทาง MINI เปิดตัว MINI Hatchback 5 ประตูเป็นครั้งแรก ภายใต้ชื่อ MINI 5 door โดยใช้พื้นฐานตัวถังของ F56 มาขยายความยาวของตัวถังให้มากขึ้น และเพิ่มประตูสำหรับผู้โดยสารแถวหลังเข้าไป ทำให้ MINI 5 door เป็นรถ Hatchback 5 ประตูรุ่นแรกของ MINI เพื่อเสริมความต้องการของตลาด สำหรับผู้ที่อยากได้รถที่มีความสนุกสนานสไตล์ MINIแต่ยังคงไว้ด้วยความสะดวกสบายของผู้โดยสารทุกที่นั่ง
2018 – LCI (Minor Change)
ต้นปี 2018 MINI ประกาศเปิดตัว MINI Hatch รุ่นปรับโฉมใหม่ (LCI) โดยมีรายละเอียดของอุปกรณ์ตกแต่งที่ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น โดดเด่นด้วยไฟท้ายลวดลาย Union Jack, ปรับโลโก้ให้เป็นโลโก้ MINI แบบใหม่ในทุกตำแหน่ง และ เปลี่ยนมาใข้ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง
ในส่วนของชุดเกียร์ มีการอัปเกรดมาใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด แบบคลัตช์คู่ (DCT) เป็นครั้งแรกของรถมินิ
มินิ ประเทศไทย เปิดตัวมินิรุ่นปรับโฉมใหม่ และเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2018 โดยในรุ่น Hatch 5 ประตู (F55) มีจำหน่ายในรุ่นเครื่องยนต์ MINI Cooper, Cooper D และ Cooper S
F54 (2015-ปัจจุบัน : MINI Clubman)
24 มิถุนายน 2015 MINI เปิดตัว MINI Clubman โฉมใหม่ ภายใต้รหัสตัวถัง F54 ถือเป็น MINI Clubman รุ่นที่สอง ถัดจาก R55 โดยมีการขยายมิติของตัวถังรถยนต์ขึ้นทุกด้าน นับเป็นรถ MINI ที่ยาวที่สุด ณ วันที่เปิดตัว มีการขยายพื้นที่ของผู้โดยสารแถวหลัง ใช้ประตูบานพับแบบปกติ 4 บาน แต่ยังคงใช้ฝากระโปรงท้ายแบบตู้กับข้าว ตามแบบฉบับของ MINI Clubman ดั้งเดิม
MINI Clubman ใหม่ ยังถือเป็น MINI ในเจเนอเรชั่นที่สาม แต่เป็น MINI รุ่นแรกที่มีการขยายขนาดของตัวถังด้านข้างให้กว้างขึ้น พร้อมเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกเข้าไปอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเบาะปรับไฟฟ้า แผงคอนโซลแบบใหม่ รวมถึงมีการปรับเปลี่ยนชุดเกียร์มาเป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีดเป็นครั้งแรก
MINI Clubman เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่งาน Thailand International Motor Expo 2015
2016 – MINI John Cooper Works Clubman
ปี 2016 มินิ ได้เปิดตัว MINI John Cooper Works Clubman มาเป็นตัวแรงของโมเดลนี้ ด้วยตัวเลขความแรง 231 แรงม้า และมีความสามารถการขับเคลื่อนสี่ล้อ หรือ ALL4 มาด้วย โดย MINI JCW Clubman ยังคงใช้สีตัวถัง Rebel Green ตัดกับหลังคาสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของ JCW ในไลน์อัพปัจจุบันมาเป็นสีโปรโมต (แต่ก็สามารถสั่งเป็นสีอื่นได้เช่นกัน)
มินิ ประเทศไทย นำ MINI John Cooper Works Clubman เข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ในงาน Bangkok International Motor Show 2017
F57 (2016-ปัจจุบัน : MINI Convertible)
MINI เปิดประทุนในเจเนอเรชั่นที่ 3 ถูกเปิดตัวครั้งแรกในงาน Tokyo Motor Show 2015 ภายใต้รหัสพัฒนา F57 ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ที่ MINI ต้องเปิดตัวโฉมเปิดประทุนในทุกตัวถัง โดยเอามิติของรถยนต์ Hatch หลังคาแข็ง มาทำเป็นหลังคาแคนวาส เพื่อเปิดประทุนได้ และยังยึดเอาเทคโนโลยีจาก Hatch ในเจเนอเรชั่นปัจจุบันมาใช้ทั้งหมด
MINI Convertible ใหม่นี้ เปิดตัวมาพร้อมสีใหม่ คือสีฟ้า Caribbean Aqua สามารถเปิดหลังคาได้ในเวลา 18 วินาที และเปิดปิดได้ในขณะที่รถวิ่งอยู่ด้วยความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีกำหนดเริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2016
2018 – LCI (Minor Change)
ต้นปี 2018 MINI ประกาศเปิดตัว MINI Convertible รุ่นปรับโฉมใหม่ (LCI) โดยมีรายละเอียดของอุปกรณ์ตกแต่งที่ปรับปรุงให้ทันสมัยมากขึ้น โดดเด่นด้วยไฟท้ายลวดลาย Union Jack, ปรับโลโก้ให้เป็นโลโก้ MINI แบบใหม่ในทุกตำแหน่ง และ เปลี่ยนมาใข้ไฟหน้าแบบวงแหวนเต็มวง
ในส่วนของชุดเกียร์ มีการอัปเกรดมาใช้ชุดเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด แบบคลัตช์คู่ (DCT) เป็นครั้งแรกของรถมินิ
มินิ ประเทศไทย เปิดตัวมินิรุ่นปรับโฉมใหม่ และเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนกรกฎาคม 2018 โดยในรุ่น Convertible (F57) มีจำหน่ายเฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ MINI Cooper S และ MINI John Cooper Works
F60 (2017 : MINI Countryman)
ในงาน LA Auto Show 2016 MINI ได้ทำการเผยโฉม MINI Countryman โฉมใหม่ โดยถือเป็น MINI Countryman ในเจเนอเรชั่นที่สอง ในรหัส F60 ซึ่งมีการปรับปรุงในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ทั้งภายในและภายนอก ขนาดตัวถัง และเทคโนโลยีต่างๆ โดยจะมีกำหนดวางขายในช่วงต้นปี 2017 เป็นต้นไป
MINI Countryman โฉมใหม่ ถือเป็น MINI ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในไลน์อัพของมินิ และยังมาพร้อมกับตัวเลือกของ Plug-in Hybrid เป็นครั้งแรกของแบรนด์ ในชื่อรุ่น MINI Cooper S E Countryman ALL4 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้พลังงานไฟฟ้าในรถยนต์มินิ ที่จะต่อยอดไปยังรุ่นอื่นๆ ถัดไปในอนาคต
2017 – MINI John Cooper Works Countryman
ต้นปี 2017 มินิ เปิดตัว MINI John Cooper Works Countryman มาเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของโฉม MINI Countryman สำหรับแฟนๆ มินิที่รักความแรง เคลมตัวแรงความแรงเท่ากับ MINI John Cooper Works โฉมอื่นๆ ที่ 231 แรงม้า และพ่วงเอาเทคโนโลยี ALL4 มาเป็นออปชั่นมาตรฐาน
ขอบคุณข้อมูลจาก MINI-TH. (mini-th.com)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น